รถหายได้คืน!!! ประกันเบี้ยว...หรือจ่าย ?
หากจะมองภาพบริษัทประกันภัยในไทยแล้ว ผู้บริโภคหลายคนยังอาจมีความรู้สึกติดลบกับพฤติกรรมต่างๆ ที่ได้รับการบอกต่อกันมา จนบางครั้งทำให้ต้องรู้สึกกังวลทุกครั้งเมื่อทำประกันไปแล้ว และมีการเรียกเคลมค่าสินไหมเกิดขึ้นว่า สุดท้ายแล้วจะได้รับการชดเชยเต็มตามจำนวน
แบบเดียวกับกรณีของนางสีที่ต้องกลายเป็นโจทก์ยื่นฟ้องร้องบริษัทประกันให้ตกเป็นจำเลย
เพื่อเรียกร้องความยุติธรรมให้กลับคืนมา
เมื่อนางสีเป็นโจทก์ฟ้องว่า โจทก์มอบอำนาจให้นายไพโรจน์ ดำเนินคดีแทนโจทก์
โจทก์เป็นแม่ของนายสมศักดิ์ ผู้เอาประกันภัยรถยนต์ไว้ต่อจำเลย
โดยจำเลยรับประกันภัยรถเก๋งรับจ้างไว้จากนายสมศักดิ์
ในประเภทคุ้มครองรถยนต์คันที่เอาประกันภัยเฉพาะลักทรัพย์ ชิงทรัพย์ หรือปล้นทรัพย์ทั้งคันวงเงิน 3.5 แสนบาท
และในประเภทประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล คุ้มครองบุคคลที่กำลังขับรถยนต์หรือผู้ขับที่กำลังขึ้นหรือลงจากรถยนต์คันที่เอาประกันภัย วงเงิน 5 หมื่นบาท มีอายุสัญญาประกันภัย 1 ปี
แต่ในวันเกิดเหตุนายสมศักดิ์ผู้เอาประกันภัยขณะขับรถยนต์คันที่เอาประกันภัย ได้ถูกคนร้ายฆ่าตายและถูกชิงทรัพย์เอารถยนต์คันที่เอาประกันภัยไปทั้งคัน แล้วคนร้ายทำให้รถคันที่เอาประกันภัยเสียหายโดยการเปลี่ยนแปลงสีรถ แก้ไขเลขเครื่องยนต์และขับฝ่าด่านตรวจค้นของเจ้าพนักงานตำรวจพลิกคว่ำเสียหายพังยับเยิน
จำเลยในฐานะผู้รับประกันภัยต้องจัดการซ่อมแซมรถยนต์คันที่เอาประกันภัยก่อนส่งคืนแก่โจทก์ แต่จำเลยเพิกเฉยโจทก์ต้องนำรถยนต์ไปซ่อมเอง เสียค่าซ่อมไปเป็นเงิน 1.3 แสนบาท และโจทก์ยังสำรองจ่ายค่าติดตามรถคืนไปอีกไม่น้อยกว่า 6,000 บาท แต่โจทก์ขอคิดเพียง 6,000 บาท
ผลจากการชิงทรัพย์ประกอบกับการจัดการสินไหมทดแทนที่ผิดพลาดและบ่ายเบี่ยง ประวิงเวลาของจำเลย ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายต้องขาดประโยชน์จากการใช้รถยนต์คันที่เอาประกันภัยวันละไม่ต่ำกว่า 600 บาท นับแต่วันเกิดเหตุจนถึงวันที่ซ่อมเสร็จเป็นเวลา 440 วัน คิดเป็นเงินค่าขาดประโยชน์ 2.64 แสนบาท
และจำเลยต้องรับผิดในส่วนประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคลอีก 5 หมื่นบาท รวมเป็นค่าเสียหายทั้งสิ้น 4.5 แสนบาท จำเลยต้องรับผิดชำระเงินจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย 7.5% ต่อปี นับแต่วันเกิดเหตุจนถึงวันฟ้องเป็นเวลา 23 เดือน เป็นเงินดอกเบี้ย 6.47 หมื่นบาท รวมเป็นเงิน 5.15 แสนบาท บังคับจำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ 5.15 แสนบาท พร้อมดอกเบี้ย 7.5% ต่อปี ของต้นเงิน 4.5 แสนบาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า จำเลยมอบอำนาจให้นายอภิรักษ์ ดำเนินคดีแทน
รถยนต์คันที่เอาประกันภัยมิได้สูญหายหรืออาจถือได้ว่าสูญหายไปชั่วขณะหนึ่งแล้วได้คืนมา จำเลยจึงไม่มีหน้าที่ต้องชดใช้แก่ผู้เอาประกันภัยหรือทายาท และค่าเสียหายของโจทก์ไม่เกิน 3 หมื่นบาท
โจทก์ไม่มีสิทธิที่จะเรียกค่าประกันภัยอุบัติเหตุเพราะเป็นการฆาตกรรมไม่อยู่ในเงื่อนไขความคุ้มครอง ค่าติดตามรถคืนหากมีก็ไม่เกิน 600 บาท ก่อนตายผู้เอาประกันภัยมีรายได้วันละไม่เกิน 100 บาท ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ 2.36 แสนบาทพร้อมด้วยดอกเบี้ย 7.5% ต่อปี นับแต่วันที่เกิดเหตุไปจนกว่าจะชำระเสร็จ แต่ดอกเบี้ยนับถึงวันฟ้องไม่ให้เกิน 6.47 หมื่นบาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 1.86 แสนบาท พร้อมดอกเบี้ย 7.5% ต่อปี นับตั้งแต่วันเกิดเหตุจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยนับถึงวันฟ้องต้องไม่เกิน 6.47 หมื่นบาท เท่าที่โจทก์ขอ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่าผู้ตายทำสัญญาประกันภัยรถยนต์คันพิพาทไว้กับจำเลยมีข้อตกลงว่าจำเลยจะรับผิดชดใช้ราคารถยนต์ในกรณีที่ถูกคนร้ายลักทรัพย์ ชิงทรัพย์ หรือปล้นทรัพย์โดยจำกัดวงเงินไว้ 3.5 แสนบาท
ระหว่างอยู่ในระยะเวลาประกันภัย ผู้ตายถูกคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงถึงแก่ความตายแล้วชิงทรัพย์เอารถยนต์คันพิพาทไป ต่อมาเจ้าพนักงานตำรวจ จ.ตราด ยึดรถยนต์คันพิพาทมาได้เพราะคนร้ายขับรถฝ่าด่านตรวจพลิกคว่ำเสียหาย
ปัญหาตามฎีกาของจำเลยมีว่า จำเลยต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อค่าซ่อมรถยนต์คันพิพาทให้แก่โจทก์หรือไม่
ตามกรมธรรม์ประกันภัยเอกสารหมายมีข้อตกลงว่าในกรณีรถยนต์สูญหายอันเกิดจากการลักทรัพย์ ชิงทรัพย์หรือปล้นทรัพย์จำเลยจะจ่ายค่าสินไหมทดแทนเต็มตามจำนวนที่จะต้องรับผิดตามสัญญาโดยผู้เอาประกันภัยต้องโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์ให้แก่จำเลย ในกรณีได้รับรถยนต์กลับคืนมา มีข้อตกลงว่าจำเลยยอมให้ผู้เอาประกันภัยใช้สิทธิขอรับรถยนต์คืน โดยผู้เอาประกันภัยต้องคืนเงินที่ได้รับชดใช้ไปทั้งหมดให้แก่จำเลย ถ้ารถยนต์นั้นเกิดความเสียหายจำเลยต้องจัดการซ่อมโดยค่าใช้จ่ายของจำเลยก่อนคืน
จำเลยฎีกาว่าสัญญาประกันภัยตามเอกสาร เป็นสัญญาสำเร็จรูปซึ่งออกและควบคุมโดยกรมการประกันภัยเดิมเพื่อให้บริษัทผู้รับประกันภัยรับผิดตามความเสี่ยงที่ ผู้เอาประกันได้เสียเบี้ยประกันภัยแต่หากผู้เอาประกันไม่ได้ซื้อความคุ้มครองจะยกเอา เงื่อนไขแห่งสัญญามาใช้เต็มรูปแบบมิได้ คดีนี้ผู้เอาประกันภัยซื้อความคุ้มครองรถยนต์เฉพาะประกันภัยค้ำจุนกับรถหายไว้เท่านั้น ไม่ได้ซื้อความคุ้มครองในส่วนการชนไว้ด้วย จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดในการซ่อมนั้น
เห็นว่า นายอภิรักษ์ หัวหน้าส่วนอุบัติเหตุรถยนต์ของจำเลยเบิกความว่า สัญญาประกันภัยตามเอกสาร ไม่มีข้อความระบุว่าให้ใช้สำหรับการประกันภัยในประเภท 1 เท่านั้น
นายณรงค์ศักดิ์ นักวิชาการ กรมการประกันภัยพยานโจทก์เบิกความว่า
กรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มเติมกรมธรรม์ ผู้เอาประกันภัยและผู้รับประกันภัยต้องทำหนังสือแนบท้ายไว้ด้วยความเสียหายของรถยนต์คันพิพาทซึ่งเกิดจากคนร้ายขับและพลิกคว่ำนั้นถือว่าเป็นความเสียหายที่เกิดจากการลักทรัพย์ ชิงทรัพย์ หรือปล้นทรัพย์มิใช่อุบัติเหตุซึ่งตามตารางกรมธรรม์ประกันภัย ให้ความคุ้มครองด้วย เห็นได้ว่าแม้สัญญาประกันภัยจะเป็นสัญญาสำเร็จรูปซึ่งออกแบบและควบคุมโดยกรมการประกันภัย แต่คู่สัญญาอาจทำการเปลี่ยนแปลงแก้ไขเพิ่มเติมโดยทำเป็นหนังสือแนบท้ายไว้ได้ เมื่อข้อความในกรมธรรม์ประกันภัยตามเอกสาร ระบุไว้ชัดว่าในกรณีรถยนต์สูญหายอันเกิดจากการลักทรัพย์ ชิงทรัพย์ และปล้นทรัพย์ แล้วได้รถยนต์คืนมา ผู้เอาประกันภัยมีสิทธิขอรับรถคืน โดยคืนเงินที่ได้รับชดใช้ไปทั้งหมดแก่ผู้รับประกันภัยถ้ารถยนต์นั้นเกิดความเสียหาย ผู้รับประกันภัยต้องจัดการซ่อมก่อนคืนโดยไม่มีข้อยกเว้นความรับผิดไว้ จำเลยจึงต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อค่าซ่อมรถยนต์คันพิพาทซึ่งเสียหายให้โจทก์
ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาต่อไปตามฎีกาของจำเลยมีว่า
จำเลยต้องรับผิดชดใช้ค่าขาดประโยชน์จากการที่ไม่ได้ใช้รถยนต์คันพิพาทแก่โจทก์หรือไม่ เห็นว่าโจทก์มิได้ฟ้องให้จำเลยรับผิดฐานเป็นผู้ทำละเมิดชิงทรัพย์เอารถยนต์คันพิพาทไป หากแต่ฟ้องให้รับผิดตามสัญญาประกันภัย ทั้งตามกรมธรรม์ประกันภัยก็ปรากฏข้อตกลงชัดแจ้ง ว่าการประกันภัยนี้ไม่คุ้มครองถึงความเสียหายอันเกิดจากการขาดการใช้รถยนต์ ดังนั้นจำเลยหาต้องรับผิดใช้ค่าขาดประโยชน์แก่โจทก์ไม่ ที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดให้จำเลยใช้ค่าขาดประโยชน์แก่โจทก์เป็นเงิน 5 หมื่นบาทนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังขึ้น
ปัญหาข้อสุดท้ายตามฎีกาของจำเลยมีว่า
ค่าซ่อมรถและค่าใช้จ่ายในการรับรถคืน ที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดให้นั้นสูงเกินเหตุหรือไม่ เห็นว่ารถยนต์คันพิพาทเสียหายทั้งคันเพราะพลิกคว่ำ นายวิชัย ทองดอนปุ้ม ผู้จัดการอู่ซ่อมรถยนต์พยานโจทก์เบิกความว่าพยานได้จัดการซ่อมรถยนต์คันพิพาทเป็นเวลานานหลายเดือนเพราะรถยนต์คันพิพาทได้รับความเสียหายเป็นจำนวนมาก เป็นเงินค่าซ่อมทั้งสิ้น 1.3 แสนบาท
ส่วนค่าใช้จ่ายในการรับรถคืนมานั้น ก็ปรากฏว่าจำเลยแจ้งให้ทางโจทก์ไปรับรถคืนเอง อ้างเหตุว่าจำเลยไม่ต้องรับผิดชอบในส่วนนี้ โจทก์ต้องเสียค่าใช้จ่ายแก่เจ้าพนักงานตำรวจในการไปนำรถยนต์คันพิพาทจาก จ.ตราด กลับมาที่กรุงเทพฯ สิ้นเงินไป 6,000 บาท จำเลยไม่มีพยานมาสืบหักล้างว่าค่าใช้จ่ายมีไม่ถึงจำนวนดังที่โจทก์อ้าง ฉะนั้นที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดค่าซ่อมรถเป็นเงิน 1.3 แสนบาท และค่าใช้จ่ายในการรับรถคืนเป็นเงิน 6,000 บาท จึงชอบด้วยรูปคดีแล้ว ไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะเปลี่ยนแปลงแก้ไข
ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า
ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 136,540 บาทพร้อมดอกเบี้ย 7.5% ต่อปี นับแต่วันเกิดเหตุไปจนกว่าจะชำระ เสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตาม คำพิพากษาศาลอุทธรณ์
ขอขอบคุณ เนื้อหาข่าวจาก โพสต์ ทูเดย์