เอาเรื่องดีๆมาฝากครับ
ที่มาครับ
http://www.siamsport.co.th/Column/130103_097.htmlวัดน้ำมันเครื่อง เรื่องง่าย แต่เข้าใจผิดหรือละเลย !
ถาม
ติดตามคอลัมน์นี้บ่อย เห็นหลายคนถามได้ความรู้ดีครับ คราวนี้ถามเองเพราะอยากรู้เรื่องที่หลายคนคิดว่าง่ายหรือมองข้ามคือ การวัดน้ำมันเครื่อง จากอดีตแนะนำว่าควรวัดทุกวัน ปัจจุบันไม่ค่อยมีใครทำถี่ขนาดนั้น รถก็ไม่เห็นพัง ทำไมจึงวัดนานๆ ครั้ง และคุณวรพลแนะนำอย่างไร
อีกเรื่องคือ วิธีวัด หลายคนบอกว่าควรจอดนานๆ หรือข้ามคืนแล้วค่อยวัด เพื่อให้น้ำมันเครื่องไหลกลับอ่างมากที่สุด แต่ผมว่ามันแปลก หากต้องรอนาน 6-10 ชั่วโมง ถ้าเราอยากวัดหรือช่างอยากวัดหลังเติมแบบฉับพลันจะทำอย่างไร คิดว่าคุณวรพลที่เป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องรถ น่าจะให้คำตอบได้ชัดเจนครับ
ยศเดช/วงเวียนใหญ่
ตอบ
น้ำมันเครื่องมีความสำคัญต่อเครื่องยนต์มาก เพราะไม่เพียงหล่อลื่น-ลดการสึกหรอ แต่ทำหลายอย่างควบคู่กันด้วย เช่น ระบายความร้อน, ป้องกันสนิม, ลดการกัดกร่อน ฯลฯ ดังนั้นจึงต้องมีทั้งคุณภาพดีและปริมาณเหมาะสม
คำถามนี้ขอข้ามประเด็นเรื่องการเลือกเกรดคุณภาพน้ำมันเครื่อง เพราะไม่ได้ถาม เน้นเรื่องความถี่และวิธีวัดตามที่สงสัย
คำถามแรก : ความถี่การวัดน้ำมันเครื่องเปลี่ยนไป จากอดีตมักแนะนำให้ทำประจำทุกวัน หรือไม่กี่วันครั้ง เปลี่ยนเป็นสัปดาห์ละครั้ง บางคนเป็นเดือนหรือนานกว่านั้น ก็ไม่เห็นเครื่องยนต์มีปัญหา น่าจะเป็นเพราะเมื่อก่อนวัสดุที่ใช้ทำซีลปะเก็นต่างๆ อาจด้อยกว่าปัจจุบัน รวมถึงความห่างของชิ้นส่วนภายใน (เคลียร์แรนซ์) จากการผลิตก็มากกว่า สังเกตได้จากเครื่องยนต์ยุคใหม่ถูกกำหนดให้ใช้น้ำมันเครื่องเบอร์ใสขึ้น จากความหนืดลงท้ายด้วย 40-50 กลายเป็น 30 หรือบางรุ่น 20 ก็มี
เครื่องยนต์ยุคเก่าเมื่อผ่านการใช้งานมาก ระดับน้ำมันเครื่องอาจลดอย่างรวดเร็ว ทั้งรั่วซึมภายนอก หรือเล็ดลอดสู่กระบอกสูบแล้วเผาไหม้ออกพร้อมไอเสียเป็นควันขาว เป็นที่มาของการแนะนำให้วัดน้ำมันเครื่องบ่อยๆ เพราะเกรงว่าเครื่องยนต์จะพัง เนื่องจากน้ำมันเครื่องขาด ไม่พอต่อการหล่อลื่นและอื่นๆ
ปริมาณน้ำมันเครื่องมีผลต่อประสิทธิภาพในหลายหน้าที่ น้อยไปก็ไม่พอ มากไปก็สิ้นเปลืองและส่งผลลบที่จะอธิบายต่อ โดยมีปริมาณหรือลิตรมาก-น้อยตามขนาดเครื่องยนต์หรือความจุกระบอกสูบ-ซีซี เพราะเครื่องยนต์ใหญ่ เมื่อมีทั้งอากาศและเชื้อเพลิงในกระบอกสูบพร้อมเผาผลาญเป็นพลังงานมากกว่าเครื่องยนต์เล็ก จึงย่อมต้องการประสิทธิภาพการหล่อลื่นและอื่นๆ มากกว่า
น้ำมันเครื่องขาด อาจส่งผลให้เครื่องยนต์พัง ส่วนน้ำมันเครื่องเกิน ไม่พัง ถ้าเกินเล็กน้อย ประมาณ 0.5-1 เซนติเมตรของก้านวัดก็แค่สิ้นเปลือง ไม่ส่งผลเสียกับเครื่องยนต์ แต่ไม่ได้ประโยชน์และเปลืองเงิน เพราะน้ำมันเครื่องในปริมาณขีดบนของก้านวัด ก็เพียงพอหรือเกินพอสำหรับหลายหน้าที่
ถ้าเกินจากนั้น ระดับน้ำมันเครื่องที่สูงขึ้นในอ่าง อาจถูกเคาน์เตอร์เวตหรือตับเป็ดถ่วงสมดุลข้อเหวี่ยงตีสะบัดกระจายทั่ว ทั้งกินแรงในการตีจนเครื่องยนต์แรงตก และน้ำมันเครื่องอาจกระเซ็นโดนผนังกระบอกสูบมากกว่าปกติ ทำให้แหวนกวาดน้ำมันตัวล่างของลูกสูบทำงานหนัก จนน้ำมันเครื่องเล็ดลอดเข้าสู่กระบอกสูบและเผาไหม้เป็นควันขาว น่ารำคาญและสิ้นเปลืองโดยไม่จำเป็น
การใช้งานควรรักษาระดับให้อยู่ช่วงขีดล่าง-บน หรือ Min-Max ของก้านวัดเสมอ ไม่จำเป็นต้องเต็ม แต่การเปลี่ยนน้ำมันเครื่องควรเติมให้ถึงขีดบน เพื่อไม่ต้องกังวลว่าจะลดต่ำกว่าขีดล่างหรือต้องวัดบ่อยๆ ในช่วงแรกหลังเปลี่ยน (ระหว่างขีดบน-ล่าง มักต่างประมาณ 1 ลิตร) ส่วนเมื่อใช้งานสักระยะหรือใกล้เปลี่ยนน้ำมันเครื่อง ก็ไม่จำเป็นต้องเติมเพิ่มให้สิ้นเปลือง โดยไม่ต้องกังวลว่าเครื่องยนต์จะพัง เพราะถ้าไม่ต่ำกว่าขีดล่างก็ใช้งานได้ปกติ
อย่าเข้าใจผิดว่าต้องมีน้ำมันเครื่องสูงถึงขีดบนเสมอ ไม่อย่างนั้นจะมีขีดล่างทำไม และเมื่อมีทั้งขีดบน-ล่าง แสดงว่าผู้ผลิตเผื่อให้แล้ว ไม่จำเป็นต้องเติมเผื่อให้เกินขีดสูงสุด นอกจากเป็นรถที่ใช้งานขึ้น-ลงเนินหรือมุมเอียงบ่อย จึงควรเติมให้ถึงขีดบนเสมอ เพราะระดับน้ำมันเครื่องอาจเอียงจนฝักบัวดูดอากาศผสมกันในบางจังหวะ
ความถี่การวัดระดับน้ำมันเครื่องในปัจจุบัน หากวัดทุกครั้งแล้วพบว่ามีการลดระดับอย่างช้าๆ ตามปกติ (รวม 10,000 กม. ไม่ลดจากขีดบนจนต่ำกว่าขีดล่าง หรือสัปดาห์ละ 1-2 มม.) แนะนำให้วัด 1-2 สัปดาห์ครั้ง หากละเลยก็ไม่ควรเกินเดือนละครั้ง ไม่จำเป็นต้องทำถี่แบบอดีต
คำถามที่ 2 : วิธีวัด นับเป็นปัญหาใหญ่ในวงกว้าง เพราะหลายคนเข้าใจผิด พร้อมปฏิบัติหรือแนะนำต่อเนื่องมานาน ทั้งที่เหมือนวัดง่ายๆ แค่ดูหรือเติมให้ได้ระดับ
ประเด็นสำคัญก็คือ ความเข้าใจผิดในวงกว้างฝังลึก ว่าต้องวัดน้ำมันเครื่องหลังดับเครื่องยนต์ไว้นานข้ามคืนหรือหลายชั่วโมง เพื่อให้น้ำมันเครื่องไหลกลับอ่างมากที่สุด หากวัดหลังดับเครื่องยนต์ใหม่ๆ ต้องเผื่อระดับให้เห็นว่าต่ำกว่าปกติเล็กน้อย เพราะน้ำมันเครื่องยังไหลลงไม่หมด
นับเป็นความความเข้าใจและวิธีผิด เพราะคู่มือประจำรถเท่าที่ผมอ่าน ทั้งญี่ปุ่น-ยุโรป เก่า-ใหม่ รถเก๋ง-รถกระบะ ล้วนระบุให้เครื่องยนต์ทำงานจนถึงอุณหภูมิปกติแล้วดับสักครู่ (น่าจะหมายถึง 1-5 นาที) หรือบางรุ่นระบุเป็นเลข 2, 3 และ 5 นาที อย่างชัดเจน ผมยังไม่เคยเห็นคู่มือประจำรถรุ่นใดระบุให้วัดหลังจอดข้ามคืน
การวัดแบบนี้ ตรงกับความสะดวกในชีวิตจริง เพราะเมื่ออยากวัด ทั้งเจ้าของรถหรือช่างก็ทำได้ในเวลาสั้น และไม่ต้องกะระดับเผื่อ
คิดง่ายๆ ว่า หากต้องรอข้ามคืนหรือกว่า 6 ชั่วโมง เมื่อเราอยากวัดทันทีก็ต้องอดใจรอ หรือหลังช่างเปลี่ยนน้ำมันเครื่องและสตาร์ตเครื่องยนต์เพื่อให้หมุนเวียนเข้าสู่ไส้กรองตัวใหม่จนเต็มแล้วดับ ลูกค้าต้องรออีก 6 ชั่วโมง เพื่อรอวัดระดับอย่างนั้นหรือ ?
อาจมีรถบางรุ่นแนะนำแตกต่างออกไป ดังนั้นใครใช้รถรุ่นใดก็ควรอ่านและทำตามคำแนะนำของรถรุ่นนั้น
สรุป : ควรวัดระดับน้ำมันเครื่องทุก 1-2 สัปดาห์ พร้อมสังเกตความผิดปกติของการพร่อง เมื่อใช้งานแล้วไม่จำเป็นต้องเติมเต็มขีดบนเสมอ หากใกล้เปลี่ยนหรือไม่ต่ำกว่าขีดล่าง และต้องวัดหลังจากเครื่องยนต์ทำงานปกติ โดยดับทิ้งไว้สักครู่ 1-5 นาที ไม่ต้องรอข้ามคืน ผมยืนยันตามหลักการที่ถูกต้องในยุคนี้ครับ