LED หรือ Light Emitting Diodes เป็นหลอดไฟแบบใหม่ที่แตกต่างจากแบบอื่น ๆ เพราะภายในหลอดจะไม่มีไส้ มีเพียงโลหะสองชนิด รับอิเล็คตรอนจากกระแสไฟฟ้าแล้วเกิดการเปล่งแสงออกมาจากตัวมันเอง
ในยุคก่อน ๆ หลอด LED มักจะนำไปใช้กับเครื่องใช้ไฟฟ้าหรืออุปกรณ์ต่าง ๆ เพื่อแสดงสถานะการทำงาน หรือเป็นชิ้นส่วนในเครื่องคอมพิวเตอร์ใช้เป็นสัญญาณไฟจราจรหรือสัญญาณเตือนต่าง ๆ จุดเด่นคือขนาดที่เล็กกว่าหลอดแบบอื่นหลายเท่า สามารถใช้งานในที่จำกัดได้ มีความทนทานเพราะไม่มีความร้อนในการทำให้เกิดแสง ตลอดจนแสงที่ได้ก็มีความสว่างกว่า ประหยัดพลังงานมากกว่าหลอดแบบไส้
ปัจจุบันมีการใช้ไฟ LED มากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะมันถูกพัฒนามาให้ใช้งานในรถยนต์ เช่นเป็นไฟเลี้ยว ไฟหน้า ไฟส่องสว่างภายในรถ ไฟบนแผงหน้าปัด ไฟท้าย ไฟเบรก และได้รับความนิยมมากขึ้นทุกทีเพราะสามารถออกแบบได้ตามความต้องการ เพราะไม่มีข้อจำกัดเรื่องขนาดและรูปร่าง เลือกใช้ได้สารพัดสี รวมทั้งยังทำให้ขนาดไฟเล็กลงแต่สามารถให้แสงสว่างมากขึ้นกว่าเดิม
หลอดไฟแบบ LED ไม่ใช่ของใหม่ ในรถยุโรปรุ่นเก่าบางค่ายก็มีใช้อยู่ เพียงแต่ไม่ค่อยมีใครสนใจกับมันมากนัก แถมยังมีอยู่ให้เห็นทั่วไป (เช่น ป้ายโฆษณาริมถนน หรือ ป้ายไฟของบรรดาแฟนคลับทั้งหลาย) แต่สำหรับยานยนต์ยุคใหม่ ใครไม่มีถือว่าเชยใช่ย่อย การใช้ไฟหน้า-ไฟท้ายเป็น LED แทนหลอดแบบมีไส้ทั่วไปนอกจากจะได้ประโยชน์ด้านความสวยงามแล้วยังมีประโยชน์ทางด้านความปลอดภัยอีกด้วย เนื่องจากหลอดแบบ LED นั้นมีความสามารถในการส่องสว่างเร็วกว่าหลอดทั่วไปถึง 200 มิลลิวินาที ซึ่งถือว่าเป็นระยะเวลาที่สั้นมาก ๆ
ข้อดีตรงที่ไม่มีไส้นี้ทำให้สามารถควบคุณแสงได้หลากหลายรูปแบบตามการจ่ายพลังงานจ่ายเยอะก็สว่างมากจ่ายน้อยก็สว่างน้อย สามารถปรับความสว่างของไฟได้ตามต้องการจึงทำให้ไม่จำเป็นที่จะมีไฟหรี่ ไฟต่ำ หรือไฟสูง มารวมกันเป็นชุดให้รุงรังและเปลืองต้นทุน เพียงติดไฟหน้าแบบ LED ชุดเดียวก็สามารถควบคุมให้เป็นได้ทั้งไฟหรี่ ไฟสูง ไฟต่ำ ด้วยตัวปรับตั้งค่าและยังมีไฟเลี้ยวมารวมอยู่ได้อีก
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
หนังสือ ยานยนต์
ปีที่ 45 เล่มที่ 564 พฤษภาคม 2556