เจอข้อมูลดีๆมาเลยอยากให้น้าๆอ่านครับ
เคล็ดไม่ลับการการดูแลรักษารถยนต์ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการใ้ช้งานสูงสุด และยังช่วยยืดอายุการใช้งาน ให้ยาวนานยิ่งขึ้น
1. หน้าปัดรถยนต์บอกอะไรกับท่านบ้าง การสตาร์ทเครื่องยนต์ ควรจะเปิดสวิทช์กุญแจค้างทิ้งไว้ที่ ตำแหน่ง ON ประมาณ 5 วินาที ก่อนที่จะสตาร์ทรถยนต์ทุกครั้ง เพื่อที่จะได้สังเกต อุปกรณ์ต่างๆบนหน้าปัด ว่ามีสิ่งผิดปกติ หรือขึ้นโชว์ครบหรือเปล่า และยังเป็นการช่วยถนอม กล่องสมองกล หรือ ระบบ ECU. ( ELECTRONIC CONTROL UNIT ) เพื่อที่ตัวของมันจะได้อ่าน และ ซ็ทระบบข้อมูลต่างๆ ของรถยนต์คันนั้นเสียก่อน เช่นถ้าไฟ รูป ABS ,รูป ถุงลมนิรภัย หรือ AIR BAG หรือ SRS โชว์ไม่ยอมดับก็ต้องเกิดสิ่งผิดปกติขึ้นกับระบบนั้นๆ จะได้ระวังและแก้ไขได้ทันท่วงที
การสตาร์ทเครื่องยนต์ ก่อนจะขับรถยนต์ในทุกๆครั้ง ควรจะปิดอุปกรณ์ที่ใช้ระบบไฟฟ้าทั้งหมด เสียก่อน เช่น ระบบแอร์ วิทยุ , CD , TV ต่างๆ เพื่อที่จะได้ถนอมอุปกรณ์ต่างๆ ให้มีอายุการใช้งานได้นานขึ้น เช่น แบตเตอรี่ และ ไดชาร์จหรือ ( อัลเตอร์เนเตอร์ ) หรือ มอเตอร์สตาร์ท จะได้รับภาระน้อยลง และ ถ้าจะให้ดีควรเปิดกระจกลงมาสักหน่อย เพื่อจะได้ระบายอากาศ และ จะได้มีอุณหภูมิที่ใกล้เคียงกับด้านนอกได้เร็วขึ้น ( ถ้าภายในมีอากาศที่ร้อนมาก ) ระบบแอร์ก็จะทำงานไม่หนักมาก พอขับได้สักประมาณ 2-3 นาที จึงค่อยเปิดอุปกรณ์ระบบไฟฟ้า เพียงแค่นี้ท่านจะได้ใช้อุปกรณ์ต่างๆได้ยาวนานขึ้น และสิ่งสำคัญที่ไม่ควรจะละเลยคือ ควรคาดเข็มขัดนิรภัยก่อนขับรถทุกครั้ง และอีกอย่างหนึ่งคือ ถ้าเครื่องยนต์สตาร์ทเท่าไรก็ไม่ยอมติดสักที
ไม่ควรบิดกุญแจสตาร์ทเครื่องค้างทิ้งไว้ เกินประมาณ 5 วินาที / ครั้ง เพื่อที่มอเตอร์สตาร์ท และ แบตเตอรี่ จะได้ไม่เสียหายไว และเกิดการไหม้ได้ สิ่งที่สำคัญ สำหรับรถยนต์เกียร์ออโตเมติค ควรเข้าเกียร์ไว้ที่ตำแหน่ง P เสมอเพื่อป้องกันเกียร์เลื่อนไปเอง เพราะตำแหน่ง P เป็นตำแหน่งที่ปลอดภัยที่สุด
2. รถของท่านใช้น้ำมันเชื้อเพลิงชนิดไหน น้ำมันเชื้อเพลิงเป็นผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ ได้จากน้ำมันดิบนำมาผ่านกรรมวิธีทางวิทยาศาสตร์คัดแยกเป็นน้ำมันเชื้อเพลิง ชนิดต่างๆ ออกมา ในรถยนต์ส่วนใหญ่นั้นมักใช้น้ำมันเชื้อเพลิงอยู่ 2 ชนิด ได้แก่ น้ำมันดีเซลหรือน้ำมันโซล่า และน้ำมันเบนซินหรือน้ำมันแก๊สโซลีน คุณสมบัติของน้ำมันดีเซลนั้นเป็นน้ำมันที่มีจุดวาบไฟหรือจุดที่ลุกไหม้ ในอุณหภูมิที่สูงกว่าน้ำมันเบนซินค่อนข้างมาก น้ำมันดีเซลยังสามารถแบ่งออกได้เป็นน้ำมันดีเซลหมุนเร็วกับน้ำมันดีเซลหมุน ช้า ในรถยนต์ทั่วๆ ไป จะใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว น้ำมันดีเซลจะใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับเครื่องยนต์ดีเซลเท่านั้น ไม่สามารถนำไปใช้กับเครื่องยนต์
เบนซินได้ นอกจากจะทำการดัดแปลงเครื่องยนต์เสียก่อน เช่นเดียวกับน้ำมันเบนซินที่แบ่งเกรดออกตามค่าออกเทน คือ 91 , 95 ในน้ำมันเบนซินค่าออกเทนยิ่งมากยิ่งทำให้จุดวาบไฟมากตามไปด้วย เท่ากับว่าค่าออกเทนสูงมากเท่าไหร่ยิ่งทำให้น้ำมันเบนซินชนิดนั้นลุกติดไฟ ยากยิ่งขึ้น ฉะนั้นควรเติมตามมาตรฐานผู้ผลิตรถยนต์กำหนดมา
3. กรองอากาศเป็นสิ่งสำคัญและมีอายุการใช้งาน
ตามตำราบอกไว้ว่าหากเราขับรถไปบนถนนลาดยางธรรมดา เครื่องยนต์ดูดอากาศเข้าสู่ห้องเผาไหม้ทุกๆ 1 ลูกบาศก์เซนติเมตร จะมีฝุ่นละอองปนอยู่ด้วยประมาณ 0.002 กรัม แต่หากเป็นถนนที่มีฝุ่นมากๆ จะเพิ่มเป็น 0.2 กรัม ต่อ 1 ลูกบาศก์ เซนติเมตร ฝุ่นเหล่านี้เมื่อเข้าสู่กระบอกสูบจะมีลักษณะเหมือนของมีคม ทำให้เครื่องยนต์มีการสึกหรอเพิ่มมากขึ้น ทั้งยังทำให้การเผาไหม้เชื้อเพลิงทำได้อย่างไม่หมดจดอีกด้วย ไส้กรองอากาศที่ทำจากวัสดุประเภทกระดาษ เมื่อใช้งานไประยะหนึ่ง ฝุ่นละอองจะเริ่มเกาะบริเวณด้านนอกของไส้กรอง และนานๆ เข้าจะเริ่มหนามากขึ้น ดังนั้นเราควรตรวจดูไส้กรองอากาศ ทุกๆ 1,500 -2,000 กม.
ของการใช้งาน ควรทำความสะอาดทุกครั้งที่เห็นว่าฝุ่นเริ่มเกาะหนาเกินไปแล้วและควรเปลี่ยนไส้กรองอากาศทุกๆ 20,000 -30,000 กม. ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมของการใช้งาน ถ้าใช้รถในสถานที่มีฝุ่นมากๆ อายุการใช้งานของไส้กรองอากาศจะสั้นกว่ารถที่ใช้งานบนถนนในเมืองที่มีฝุ่น น้อย
4. การเลือกใช้น้ำมันเครื่องให้ถูกต้องมีผลกับเครื่องยนต์
น้ำมันเครื่องหรือน้ำมันหล่อลื่นมีคุณสมบัติที่เด่น ๆ คือ ป้องกันการเสียดสีระหว่างชิ้นส่วนต่างๆ ในเครื่องยนต์ โดยยังคงคุณสมบัติการหล่อลื่นแม้ว่าจะอยู่ในอุณหภูมิที่สูงกว่าปกติ ดังนั้นคุณสมบัติของน้ำมันเครื่องที่ดีต้องสามารถคงสภาพความข้นใสไว้ได้ คือต้องไม่เหลวหรือหนืดจนเกินไป หากอุณหภูมิเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งความหนืดของน้ำมันเครื่องจะถูกแบ่งเป็นเกรดต่างๆ เช่น 15w , 20 w เป็นต้น เกรดของน้ำมันเครื่องที่เป็นเกรดรวม เช่น 15w 50 เป็นน้ำมันเครื่องที่สามารถใช้งานได้ทั้งในสภาวะอุณหภูมิสูงและอุณหภูมิต่ำ หากเป็นน้ำมันเครื่องเกรดเดี่ยว เช่น SAE 40,50 เป็น น้ำมันเครื่องที่เหมาะสำหรับเมืองร้อน อย่างบ้านเรา เกรดของน้ำมันเครื่องยิ่งสูงยิ่งทำให้ความหนืดของน้ำมันเครื่องสูงตามไปด้วย ในคู่มือผู้ใช้รถของรถแต่ละคันจะบอกไว้ว่า รถของท่านควรใช้น้ำมันเครื่องที่เกรดใด เพราะหากท่านเกิดไปใช้น้ำมันเครื่องที่มีความหนืดมากหรือน้อยจนเกินไป จะมีผลทำให้การหล่อลื่นของชิ้นส่วนภายในเครื่องยนต์ไม่ดีเท่าที่ควร นานวันเข้า เครื่องยนต์จะได้รับความเสียหายได้ น้ำมันเครื่องโดยปกติจะมีอายุการใช้งานที่ 5,000 -10,000 กม. ขึ้นอยู่กับประเภทของน้ำมันเครื่องและสภาพการใช้งาน ถ้าเป็นน้ำมันเครื่องสังเคราะห์จะมีอายุการใช้งานที่มากกว่าน้ำมันเครื่อง ธรรมดาทั่วๆ ไปประมาณ 100 -150 %
5. ไส้กรองน้ำมันเครื่อง ใช้ได้นานเท่าไหร่และสำคัญแค่ไหน หน้าที่หลักของน้ำมันเครื่อง แบ่งได้เป็น 5 ประเภท คือ หล่อลื่นชิ้นส่วน ระบายความร้อนลดการสึกหรอชะล้างสิ่งสกปรกจากการเผาไหม้ให้ติดไปกับน้ำมัน เครื่อง แทนที่จะตกค้างอยู่ตามชิ้นส่วนต่างๆ ของเครื่องยนต์ และสุดท้ายคือ ป้องกันสนิมและการกัดกร่อน ดังนั้นเพื่อให้น้ำมันเครื่องมีความสะอาดอยู่เสมอ จึงต้องมีไส้กรองน้ำมันเครื่อง หาก เมื่อใดไส้กรองน้ำมันเครื่องเสื่อมสภาพขึ้นมา น้ำมันเครื่องจะผ่านไส้กรองออกมา จะไม่สะอาดเท่าที่ควรหรือหากไส้กรองน้ำมันเครื่องเกิดอุดตันขึ้นมา เนื่องจากเศษสิ่งสกปรกไปรวมตัวที่ไส้กรองมากเกินไป จนน้ำมันเครื่องไม่สามารถไหลผ่านได้ ไม่ว่าจะเป็นกรณีใดที่กล่าวมา เครื่องยนต์ก็จะได้รับความเสียหายได้ทั้งสิ้น เพื่อเป็นความไม่ประมาท ควรจะเปลี่ยนไส้กรองน้ำมันเครื่อง ทุกๆ ครั้ง ที่ทำการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง
6. น้ำมันเบรก น้ำมันคลัช อีกสิ่งที่สำคัญและมีอายุการใช้งานเหมือนกัน ส่วนใหญ่จะมีอยู่ 2 สี ด้วยกันคือ สีเหลืองนวล กับ สีน้ำเงินเข้ม ถ้าท่านรู้แล้วว่า กระปุกเติม น้ำมันเบรก และ น้ำมันคลัช อยู่ ตรงไหนแล้ว ก็ควรจะหมั่นตรวจเช็คดูระดับความสูง + ต่ำ และ สี ของน้ำมัน อยู่เป็นประจำ เพื่อป้องกันเกิดการชำรุดสึกหรอเสียหายต่ออุปกรณ์ระบบเบรก , คลัช และมีอันตรายต่อการขับขี่ ระดับ หรือ ขีด ของน้ำมันปกติจะอยู่ที่ MAX เสมอ ถ้าน้ำมันเบรกมีการ ลดลง แต่ไม่ต่ำกว่าระดับ MIN มี สาเหตุที่เกิดมาจากน้ำมันเบรก ได้เข้าไปทดแทนส่วนที่สึกหรอของผ้าเบรก ไม่แนะนำให้เติมน้ำมันเบรกเพิ่ม เพราะเวลาเปลี่ยนผ้าเบรกใหม่ น้ำมันเบรก จะสูงขึ้นมาตามระดับปกติ ถ้าน้ำมันเบรก , น้ำมันคลัช ยุบลง ผิดปกติ หรือ สีของน้ำมันสกปรกมาก ให้รีบนำรถยนต์ของท่านเข้าตรวจเช็คทั้งระบบทันที ระยะเวลาในการเปลี่ยนถ่ายจะอยู่ทุกๆ 20,000 กิโลเมตร หรือ ทุก 1 ปี ถ้าเป็นไปได้ ควรเปลี่ยนถ่ายหลังจากหมดฤดูฝน แล้วยิ่งดี เพราะทั้งระบบเบรก และ คลัช
มีการสะสมความชื้นอยู่ในระบบสูง จะได้เป็นการถนอมอุปกรณ์ภายในระบบให้มีอายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้น
* ควรเติมน้ำมันเบรกให้ ถูกเบอร์ , ถูกชนิด ตามสมุดคู่มือบริษัทผู้ผลิตรถยนต์กำหนด *
7. แบตเตอรี่แหล่งจ่ายไฟหลักที่ต้องการความเอาใจใส่ แบตเตอรี่ : มี 2 แบบคือ
- แบบเติมน้ำกลั่น คือ ต้องคอยตรวจเช็คดูแลน้ำกลั่นอย่างสม่ำเสมอ เพราะถ้าน้ำกลั่นเกิดแห้งขึ้นมา มันจะส่งผลให้อายุการใช้งานของ แบตเตอรี่ลูกนั้นสั้นลง หรือ หมดสภาพก่อนกำหนดทุกๆวันหยุด ควรจะหมั่นตรวจเติมน้ำกลั่นเป็นประจำ ถ้ามันขาด หรือ บกพร่องก็จัดการเติมเลย อย่าเติมมากเกินไปเพราะเวลาแบตเตอรี่ เดือด ไอน้ำกรด จะระบายออกมาที่ฝาปิดรูระบาย
ซึ่งมันจะกัดและทำลายชิ้นส่วนต่างๆ ของรถยนต์ให้เสียหายได้ การเติมจะเติมสูงกว่าแผ่นธาตุประมาณ 10 – 15 มิลลิเมตร หรือ พอดีขอบบริเวณภายในที่ปิดฝาเติมน้ำกลั่น และควรหมั่นตรวจเช็คที่ขั้วแบตเตอรี่ ว่ามีพวกคราบเกลือจับอยู่ หรือ ไม่ ถ้ามีให้ใช้น้ำร้อนเทราดบริเวณที่มีคราบเกลือจับอยู่ และ ใช้จารบีทาบางๆ หรือจะใช้น้ำยาเอนกประสงค์ ฉีดไล่ความชื้นก็ได้ เพราะ คราบเกลือเป็นสาเหตุที่ทำให้ กระแสไฟเดินทางไม่สะดวก ซึ่งจะทำให้สตาร์ทไม่ค่อยจะติด อายุการใช้งานจะอยู่ประมาณ 2 ปี และขึ้นอยู่กับอุปกรณ์ที่ใช้ไฟฟ้าว่ามีเพิ่มเติมมากไหม หรือ ไดชาร์จ ( อัลเทอร์เนเตอร์ ) สมบูรณ์หรือไม่ ( ถ้ามีการเพิ่มอุปกรณ์ไฟฟ้า ควรจะเพิ่มจำนวนแอมป์ของแบตเตอรี่ เพิ่มไปด้วย แต่ควรดูคู่มือรถยนต์เป็นหลัก ว่าใช้ได้ไม่เกินกี่แอมป์ ที่จะได้ไม่มีปัญหากับ
อุปกรณ์ต่างๆของรถยนต์ )
- แบบกึ่งแห้ง หรือ MAINTENANCE FREE ( MF ) ซึ่งแบบนี้ไม่ต้องคอย ดูแลน้ำกลั่นเลยเนื่องจากแบบนี้ จะถูกออกแบบมาเป็นพิเศษ ที่ฝาปิดช่องน้ำกลั่น ทำไว้เพื่อให้มีเกิดการระเหยของน้ำกรดแบตเตอรี่ น้อยที่สุด จึงไม่จำเป็นต้องคอยตรวจเติมน้ำกลั่น เพราะแบตเตอรี่รุ่นนี้จะมีช่องพิเศษ (ช่องตาแมว ) ที่ไว้มองดูว่าสัญญาลักษณ์ของสีไฟในแบตเตอรี่อยู่ในระดับไหนถ้ายังเป็น สีน้ำเงิน ไฟยังเต็มอยู่ สีแดง ไฟอ่อน สมควรนำไปชาร์จไฟ สีขาว หมดไฟ หรือไฟหมด ซึ่งจะมีสติ๊กเกอร์ติดบอกไว้บนแบตเตอรี่ อายุการใช้งานจะอยู่ประมาณ 2 ปี แต่แบตเตอรี่แบบนี้จะมีราคาแพงกว่าแบบแรก ประมาณ 400 บาท แต่ข้อดี นอกจากไม่ต้องยุ่งยากในการตรวจเติมน้ำกลั่นแล้ว ยังเป็นแบบที่ไม่ค่อยมี คราบเกลือ จับอยู่ที่ขั้วแบตเตอรี่อีกด้วย ถ้ามีการเพิ่มอุปกรณ์ไฟฟ้า ควรจะเพิ่มจำนวนแอมป์ของแบตเตอรี่ เพิ่มไปด้วย แต่ควรดูคู่มือรถยนต์เป็นหลัก ว่าใช้ได้ไม่เกินกี่แอมป์ ที่จะได้ไม่มีปัญหากับ อุปกรณ์ต่างๆ ของรถยนต์
* สำหรับเครื่องยนต์ที่ใช้ระบบหัวฉีดอิเลคทรอนิค และที่มีสัญญาณกันขโมย ก่อนเปลี่ยนแบตเตอรี่ ควรมีการสำรองไฟด้วยทุกครั้ง *
วิธีการพ่วงแบตเตอรี่อย่างถูกต้อง
การพ่วงแบตเตอรี่เริ่มจากการดับเครื่องของรถยนต์ทั้ง 2 คัน เริ่มหนีบขั้วบวก (+) ของแบตเตอรี่ลูกที่ไฟหมดก่อน โดยถือปลายสายอีกด้านลอยไว้ แล้วจึงหนีบขั้วบวก (+) ของแบตเตอรี่ลูกที่มีไฟ จากนั้นหนีบปลายสายอีกเส้นเข้ากับขั้วลบ (-) ของ แบตเตอรี่ลูกที่มีไฟ โดยถืออีกปลายสายลอยไว้ เพื่อไม่ให้ช็อต แล้วหนีบอีกปลายเข้ากับตัวถังหรือโลหะในห้องเครื่อยนต์ของรถยนต์คันที่ไม่มี ไฟ ไม่ควรหนีบเข้ากับขั้วลบของแบตเตอรี่ที่ไฟหมดเป็นการป้องกันการระเบิดของ แบตเตอรี่ เมื่อเครื่องยนต์ทำงาน(ซึ่ง มีโอกาสเกิดขึ้นน้อยมาก)การหนีบสายต่างๆ เข้ากับขั้วแบตเตอรี่ และตัวถัง ต้องแน่ใจว่าหนีบได้อย่างแน่นหนา เพื่อป้องกันการสปาร์ค หรือหลุดไปแตะกับส่วนอื่น จนเกิดการลัดวงจร จากนั้นสตาร์ทเครื่องยนต์ของรถยนต์คันที่มีไฟ แล้วจึงสตาร์ทเครื่องยนต์คันที่ถูกพ่วง เมื่อเครื่องยนต์ติดแล้วจึงถอดสายพ่วงออกทีละขั้ว โดยเริ่มจากปลายสาย ด้านที่หนีบอยู่กับตัวถังรถ แล้วจึงถอดปลายอีกด้าน จากนั้นให้ถอดปลายสายขั้วบวก (+) ที่หนีบอยู่กับแบตเตอรี่ลูกที่มีไฟ แล้วจึงถอดปลายสายอีกด้านโดยในการถอดก็ต้องระวังไม่ ให้ปลายสายสัมผัสกับสิ่งใดถ้าสาเหตุมาจากแบตเตอรี่เสื่อมสภาพ แต่ระบบชาร์จไฟยังปกติ เมื่อสตาร์ทเครื่องยนต์ติดแล้ว ก็สามารถขับต่อไปได้โดยขณะจอดควรเร่งรอบเครื่องยนต์ไว้ เพื่อ ให้ไดชาร์จผลิตไฟฟ้าได้มากขึ้น และระวังไม่ให้เครื่องยนต์ดับ เพราะไม่รู้ว่าแบตเตอรี่จะมีไฟพอสำหรับสตาร์ทเครื่องยนต์อีกหรือไม่ถ้าไม่ อยากพ่วงแบตเตอรี่ ควรตรวจสอบอุปกรณ์ในระบบการชาร์จอย่างสม่ำเสมอ เติมน้ำกลั่นแบตเตอรี่ให้อยู่ระดับที่กำหนด และเปลี่ยนลูกใหม่ทุก 2-3 ปี ถึงแม้ยัง ใช้งานได้แต่ก็เสื่อมสภาพไปมากแล้ว
8. ลมยางเติมไม่ดีมีสิทธิ์เดี้ยง หลายท่านยังมีความสับสนอยู่ว่า ควรจะเติมลมยางเท่าไหร่ดี จึงเหมาะสมที่สุดถ้าถามว่าถูกต้องที่สุด ควรดูจากสมุดคู่มือประจำรถคันนั้นๆหรือ เสาประตูด้านคนขับว่าควรจะเติมลมยางมากน้อยแค่ไหน รถยนต์นั่งโดยทั่วๆ ไปแล้ว จะเติมลมยาง อยู่ที่ประมาณ28-32 ปอนด์/ตาราง นิ้ว หากเราเติมลมยางน้อยเกินไป อาจทำให้แก้มยางรับภาระมาก ยางร้อนเกินไปทำให้ยางเกิดระเบิดขึ้นได้ แต่เราเติมลมยางมากเกินไปทำให้รถเกาะถนนไม่ดี อย่างที่ควรจะเป็น และ หน้ายางสึกมากกว่าปกติ ส่วนรถยนต์ที่ต้องเดินทางไกลๆ ควรเติมลมยางให้แข็งมากกว่ามาตรฐานที่กำหนดสัก 2-3 ปอนด์ / ตารางนิ้ว / เส้น สุดท้าย อย่าลืมเช็คเติมลมยางอะไหล่ด้วย
9. เมื่อเครื่องยนต์ร้อนจัด ควรทำอย่างไร
เครื่องยนต์ร้อนจัด ฟังดูแล้วน่าจะเข้าใจแต่มักกลับมีคนถามว่า “ ร้อนจัดขนาดไหน”คนตอบก็เลยเป็น งงไปเลย แต่ถ้าบอกเป็นภาษาฝรั่งว่า OVER HEAT หลายคนกลับเข้าใจดี คือ เมื่อท่านขับรถยนต์แล้วมาตรวัดอุณหภูมิเครื่องยนต์บอกว่าตอนนี้เครื่องยนต์ ของท่านร้อนเกินกว่าปกติจนเข็มวัดอยู่เกือบสุดสเกล ท่านควรรีบหยุดรถทันที นำรถเข้าข้างทาง แต่ยังไม่ต้องรีบดับเครื่องยนต์ เปิดฝากระโปรงหน้ารถขึ้นเพื่อสำรวจดูว่ามีสิ่งผิดปกติอะไรกับระบบระบายความ ร้อนของเครื่องยนต์หรือไม่ เพราะบางครั้งการจอดรถ และดับเครื่องยนต์ทันที ก็เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องเสมอไป เนื่องจากว่าบางครั้งการที่เครื่องยนต์ร้อนจัด อาจจะเกิดจากความบกพร่องของบางระบบ ซึ่งบางครั้งอาจปล่อยให้เครื่องยนต์เดินเบาไว้ชั่วครู่ เข็มความร้อน อาจลดลงมาก็ได้ แต่จะอย่างไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่ท่านไม่ควรทำเป็นอย่างยิ่งคือ รีบเปิดฝาหม้อน้ำทันทีทันใด เพราะการเปิดฝาหม้อน้ำทันที อาจทำให้ไอร้อนที่มีปริมาณ ค่อนข้างมาก พุ่งสวนทางออกมาทาง ปากหม้อน้ำ ทำให้ถูกน้ำร้อนลวกได้ อันตรายอย่างยิ่ง ส่วนใหญ่ที่เกิดปัญหาเครื่องยนต์ร้อนจัด มักมีสาเหตุมาจาก น้ำหล่อเย็นเกิด การรั่วซึม อาจมาจากสาเหตุ เช่น ปะเก็นฝาสูบรั่ว พัดลมเครื่องไม่ทำงาน ท่อยางหม้อน้ำแตก
ดังนั้นหลังจากที่จอดรถและเปิดฝากระโปรงหน้าเรียบร้อย ก็สำรวจดูว่าภายในห้องเครื่องยนต์มีร่องรอยของน้ำหล่อเย็นหรือไม่ หลังจากนั้น จึงทำการดับเครื่องยนต์ทิ้งจนกว่าเครื่องยนต์เริ่มเย็นซึ่งใช้เวลาประมาณ 20 -30 นาที (เป็นอย่างน้อย) จึงทำการเปิดฝาหม้อน้ำออก ควรทำอย่างระมัดระวัง ค่อยๆ เปิดฝาหม้อน้ำออกช้าๆ และ ค่อยๆ เติมน้ำลงไป ไม่ควรเป็นน้ำที่เย็นจัด เพราะอาจทำความเสียหายแก่เครื่องยนต์ได้ เมื่อเติมน้ำจนเต็มแล้วลองสตาร์ตเครื่องยนต์ดู หากพบว่าไม่มีสิ่งผิดปกติใดๆ ก็ให้ลองขับรถไปช้าๆ และให้ช่างทำการตรวจเช็คอีกครั้งหนึ่งเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีชิ้นส่วนใดเสีย หาย
10. ขับรถอย่างไร ไม่ให้เปลืองน้ำมัน โดยปกติแล้วรถยนต์ที่ถูกสร้างมาจากโรงงาน มักได้รับการทดสอบด้านการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงมาแล้ว จึงเป็นสิ่งที่แน่ใจ ได้ว่า รถยนต์จะไม่สิ้นเปลืองน้ำมันเกินเหตุในพิกัดเครื่องยนต์นั้นๆ แต่นั่นหมายถึงว่า ท่านต้องขับและดูแลอย่างถูกวิธีด้วย การขับขี่ที่ถูกต้องอย่างหนึ่ง คือ ถ้าใช้เกียร์ธรรมดา ควรเรียนรู้วิธีควบคุมคันเร่งให้เหมาะสมกับจังหวะการออกตัว รวมถึง รอบของเครื่องยนต์ในการเปลี่ยนเกียร์ สำหรับท่านที่ใช้เกียร์อัตโนมัติ การจราจรที่ติดขัด เป็นสาเหตุที่ทำให้สิ้นเปลืองเชื้อเพลิงมากยิ่งขึ้น เนื่องจากรถต้องหยุดและออกตัวบ่อย เพราะฉะนั้นก่อนเดินทางไปไหนมาไหน ควรจะศึกษาเส้นทางที่จะไปเสียก่อน
และนี่ก็คือ 10 ข้อ ง่ายๆในการดูแลรถของท่าน ถ้าดูแลรักษารถยนต์ให้ดีแล้ว ค่าใช้จ่ายมันจะไม่สูงมากจนเกินไป จึงขอแนะนำให้ท่านผู้ที่ใช้รถยนต์ หมั่นตรวจเช็คสภาพรถของท่านเป็นประจำ จะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา อีกทั้งเพื่อความปลอดภัยของผู้ร่วมทาง ผลที่ตามมาคือ การสูญเสียทรัพย์สินก็จะลดน้อยลง รถยนต์ของท่านที่ซื้อมาจะได้ใช้ไปอีกนาน
คุณทราบหรือไม่ว่า ? - ผ้าเบรกที่มีปัญหาหรือหมดสภาพ จะสิ้นเปลืองน้ำมันประมาณ 400 ซีซี / วัน
- รถติดรวมกันประมาณ 30 นาที จะสิ้นเปลืองน้ำมันประมาณ 750 ซีซี / วัน
- ปิดแอร์ก่อนถึงที่หมายสัก 2 - 3 นาที ช่วยประหยัดน้ำมันได้ 30 ซีซี
- หากไม่ใช้แอร์สัก 20 - 30 นาที / วัน ช่วยประหยัดน้ำมันได้ 300 ซีซี
- ลมยางรถยนต์ถ้าอ่อนเกินไป จะสิ้นเปลืองน้ำมันประมาณ 2 %
- น้ำมันเครื่องที่เกินกำหนดระยะการเปลี่ยนถ่าย จะสิ้นเปลืองน้ำมันประมาณ 3 - 10 %
- กรองอากาศและกรองเชื้อเพลิงที่สกปรกมาก จะสิ้นเปลืองน้ำมันประมาณ 5 -10 %
* ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพการใช้งาน และ สภาพของเครื่องยนต์ *
ขอบคุณ
http://www.ichat.in.th ที่ให้ข้อมูลดีๆ