ขับปลอดภัยเมื่อฝนตก เมืองไทยกับฝนตกเป็นของคู่กัน สภาพถนนและทัศนวิสัยของการขับท่ามกลางสายฝน แตกต่างจากการขับปกติทั่วไป และต้องเพิ่มความระวังเป็นพิเศษ ดังนั้นทางเราจึงขอแนะนำวิธีขับปลอดภัยในเวลาฝนตก โดยเริ่มจาก
1. ไม่ขับชิดคันหน้าเกินไป
จากทัศนวิสัยที่ไม่แจ่ม ชัดในขณะฝนตก บวกกับสภาพถนนที่เปียกลื่น การขับจำเป็นต้องใช้ความระมัดระวังอย่างมาก ไม่ควรใช้ความเร็วสูง และที่สำคัญไม่ขับชิดคันหน้าจนเกินไป ควรทิ้งระยะห่างจากการขับในสภาพปกติ อีก 10-15 เมตร เพื่อความปลอดภัยหากขับชิดเกินไปและมีการเบรกกระทันหันผู้ขับรถยนต์ที่ตาม หลังจะไม่สามารถใช้เบรกได้อย่างมีประสิทธิภาพเหมือนกับการขับขี่ในสภาพปกติ อีกทั้งละอองน้ำที่ดีดจากรถยนต์คันหน้ายังทำให้ทัศนวิสัยของผู้ขับรถยนต์ ที่ตามมาด้านหลังไม่ชัดเจน หากเป็นช่วงที่ฝนตกหนัก ละอองน้ำจะไม่ค่อยสกปรก และไม่สร้างปัญหาให้ผู้ขับตามหลังมากนัก แต่ถ้าเป็นช่วงที่ฝนตกปรอยๆ หรือหลังฝนหยุดใหม่ๆ ละอองน้ำที่กระเด็นมาส่วนใหญ่เป็นน้ำผสมกับฝุ่นละอองซึ่งจับอยู่บนพื้นถนน ทำให้มีลักษณะคล้ายคราบโคลน แม้จะใช้ที่ปัดน้ำฝน แต่ยังทิ้งคราบเหนียวของโคลน ทำให้ลดความชัดเจนของทัศนวิสัยด้านหน้าลง
2. ชะลอความเร็วเพื่อความปลอดภัย
ในกรณีที่ฝนตกหนัก การใช้ความเร็วสูงในการขับคงเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก และในกรณีที่ฝนตกปรอยๆ หรือหลังฝนหยุดใหม่ๆ ควรขับด้วยความระมัดระวัง ไม่ควรใช้ความเร็วสูงด้วยเช่นกัน จากการทดสอบในช่วงฝนเริ่มตกจนถึง 10 นาทีแรกค่าความต้านทานต่อการลื่นไถลของผิวถนนจะลดต่ำลงมาก เพราะน้ำฝนจะไปชะล้าง คราบดินหรือฝุ่นละอองที่อยู่บนถนนคล้ายกับมีการละเลงโคลนทำให้เกิด อุบัติเหตุได้ง่ายนอกจากนั้นการขับด้วยความเร็วสูงขณะฝนตก อาจทำให้เกิดอาการ HYDRO PLANING จนทำให้เกิดการแฉลบ เพราะยิ่งใช้ความเร็วสูง แรงดันของน้ำระหว่างยางกับถนนจะเพิ่มขึ้น เมื่อถึงจุดหนึ่งก็จะทำให้เกิด การแล่นบนผิวน้ำ โดยน้ำเข้าไปแทรกกลางระหว่างยางกับผิวถนนจากการทดสอบในช่วงความ เร็วต่ำกว่า 60 กิโลเมตร/ชั่วโมง จะยังไม่เกิด HYDRO PLANING ช่วงความเร็ว 70-80 กิโลเมตร/ชั่วโมง จะเริ่มมีการเข้าแทรกกลางระหว่างผิวถนน และยางของน้ำ แต่ถ้าความเร็วนั้นเกิน 80 กิโลเมตร/ชั่วโมง น้ำจะเข้าแทรกกลางอย่างสมบูรณ์ และไม่มีการสัมผัสกัน ระหว่างหน้ายางกับผิวถนน อย่างไรก็ตาม ยังมีอีกหลายปัจจัยที่ทำให้เกิดอาการ HYDRO PLANING เช่นความเร็ว, แรงดันลมยาง, ความมากน้อยของน้ำบนผิวถนน และความเก่าใหม่ของยาง
3. เปิดไฟเพิ่มความปลอดภัย
แม้ช่วงฝนตกจะเป็นเวลา กลางวัน แต่บ่อยครั้งสภาพอากาศในช่วงเวลาที่ฝนตก มักมืดครึ้มคล้ายช่วงหัวค่ำ ทำให้ประสิทธิภาพในการมองของผู้ขับลดลง การเปิดไฟคู่หน้าจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อความปลอดภัยทั้งต่อตนเอง และเพื่อนร่วมทาง เพราะจากทัศนวิสัยที่ไม่ชัดเจนผ่านการมองกระจกทั้งมองข้าง และมองหลัง ซึ่งมักมีเม็ดฝนเกาะ อาจจะทำให้ผู้ขับขี่ที่อยู่ด้านหน้าไม่สามารถสังเกต เห็นรถยนต์ที่ตามมาด้านหลังได้ การเปิดไฟส่องสว่างแบบต่ำจึงช่วยเพิ่มความปลอดภัย ได้ในระดับหนึ่ง
4. การใช้น้ำฉีดกระจก
ในช่วงที่ฝนตกปรอยๆ หรือหลังฝนหยุดใหม่ๆ น้ำที่กระเด็นจากการดีด ของล้อรถยนต์คันหน้ามีลักษณะเหนียวคล้ายโคลน เพราะเป็นการผสมระหว่าง น้ำกับฝุ่นละอองบนถนน เมื่อกระเด็นมาเกาะที่กระจกบังลมหน้าของรถยนต์คันหลัง ทำให้ไม่สามารถมองเห็นทัศนวิสัยได้ชัดเจน แม้ใช้ก้านปัดน้ำฝนก็ไม่สามารถกวาดได้อย่างหมดจด ต้องใช้น้ำฉีดกระจก ช่วยชะล้างคราบโคลน ผู้ขับควร ตรวจสอบระดับของน้ำในกระป๋องอยู่เสมอ แต่ข้อควรระมัดระวังคือไม่ควรฉีดน้ำในขณะขับด้วยความเร็วสูง
5. หลีกเลี่ยงการเปิดไฟฉุกเฉินเมื่อฝนตกหนัก
บ่อยครั้งที่ฝนตกหนักจน ทัศนวิสัยข้างหน้าไม่ชัดเจน ผู้ขับมักนิยมไฟฉุกเฉินด้วยความหวังดี เพราะต้องการให้รถยนต์ที่ตามมาข้างหลังเห็นได้อย่างชัดเจน ทั้งที่ความจริงแล้ว เป็นเรื่องไม่จำเป็นและเป็นการรบกวนสายตายิ่งไปกว่านั้น หากผู้ขับรถยนต์คันหน้าต้องการเปลี่ยนช่องทาง จะทำให้ผู้ขับรถยนต์ ที่ตามมาข้างหลังไม่ทราบเพราะมีไฟกะพริบทั้ง 4 มุม แค่เปิดไฟต่ำก็เพียงพอแล้วข้อควรปฏิบัติในกรณีที่ฝนตกหนักคือ ไม่ควรขับชิดรถยนต์คันหน้าเกินไป ใช้ความเร็วต่ำเปิดไฟส่องสว่าง เพื่อให้ผู้ขับรถยนต์คันที่อยู่ข้างหน้าและหลังทราบ และไม่ควรเปลี่ยนช่องทางโดยไม่จำเป็นหากฝนตกหนักจนทัศนวิสัยแย่จริงๆ ควรจอดรถยนต์ ชิดไหล่ทางและเปิดไฟฉุกเฉิน ให้รถยนต์ที่ตามมาด้านหลังทราบ รอจนกระทั่งฝนลดลงแล้วจึงค่อยเดินทางต่อ
6. ยางอีกความปลอดภัยในหน้าฝน
ยางรถยนต์มีผลอย่างมาก ต่อความปลอดภัย หากสูบลมยางน้อยไป อาจทำให้รถยนต์แฉลบได้ง่าย ซึ่งในหน้าฝนควรเพิ่มแรงดันลมให้มากขึ้นจากเดิมอีก 2-3 ปอนด์/ตารางนิ้ว เพื่อให้หน้ายางแข็ง และมีกำลังในการรีดน้ำดอกยางและขนาดของหน้ายาง ยังมีผลต่อประสิทธิภาพการยึดเกาะในขณะขับรถยนต์ หากใช้ยางดอกละเอียดจะทำให้มีประสิทธิภาพดีขึ้น เพราะมีการรีดน้ำได้ดีขณะที่หน้ายางยิ่งกว้าง ยิ่งทำให้ประสิทธิภาพในการยึดเกาะลดลง เพราะประสิทธิภาพในการรีดน้ำออกจากหน้ายางลดลง เมื่อเปรียบเทียบกับยางที่มีหน้ายางแคบกว่า
7. การขับรถยนต์ลุยน้ำท่วม
ขณะที่ฝนตกหรือหลังฝน หยุด บางจุดของผิวถนนมีน้ำท่วมขัง การขับต้องใช้ความระมัดระวังเพิ่มขึ้น การขับด้วยความเร็วสูงผ่านจุดที่มีน้ำขังเป็นอันตรายอย่างยิ่ง อาจทำให้รถยนต์แฉลบ หรือเสียการทรงตัวได้ง่าย นอกจากนั้น อาจจะทำให้น้ำพุ่งกระจายขึ้นมาเต็มกระจกบังลมหน้า และไม่สามารถมองเห็นทางข้างหน้าได้ ซึ่งอันตรายมากหากจุดที่มีน้ำท่วมขังอยู่ใกล้ทางเดินเท้า การใช้ความเร็วต่ำและความระมัดระวัง เพื่อไม่ให้น้ำกระเด็นไปโดนคนที่เดินบนทางเท้า เป็นมารยาทที่ควรปฏิบัติ ลุยน้ำอย่างมั่นใจ ควรใช้ความเร็วต่ำ ป้องกันไม่ให้น้ำเข้าสู่ระบบจุดระเบิด จนเครื่องยนต์ดับ และขับทิ้งระยะจากรถยนต์คันหน้าพอสมควร เมื่อต้องขับสวนกันควรชะลอความเร็ว โดยเฉพาะสวนกับรถยนต์ขนาดใหญ่ เพื่อป้องกันไม่ให้ระลอกคลื่นเข้าปะทะด้านหน้าจะทำให้เครื่องยนต์ดับ และถือเป็นมารยาทที่ควรปฏิบัติเช่นกัน ย้ำเบรกเพื่อความมั่นใจ หลังผ่านการลุยน้ำหรือผิวถนนที่มีน้ำท่วมขัง ประสิทธิภาพของระบบเบรกจะลดลงจากเดิม การแตะเบรกเบาๆ ขณะขับ จะช่วยไล่ความชื้นออกจากดิสก์หรือดรัมเบรก รวมถึงผ้าเบรก แต่ข้อควรระวังคือ ระมัดระวังรถยนต์ที่ตามมาข้างหลัง ควรเลือกจังหวะเบรกให้ดี ไม่เช่นนั้นอาจเกิดอุบัติเหตุได้