ผมเองรู้สึกภูมิใจมากที่ข่าว All New Isuzu D-max ได้ลงข้อมูลและรายละเอียดก่อนเป็นเว็บแรกในโลก
ทำให้ตอนนี้มีผู้เข้าชมอยู่ 1,830 วิว*(*ณ วันที่ 11 ตุลาคม 2554) โดยตอนแรกเราได้ใช้ภาพโบรชัวร์ส่วน
ที่เป็นตัวรถเน้นๆ หลังจากนั้นภาพ official มาถึงผมผ่านอีเมล์ในเวลาประมาณ 22.00 น. ก็ได้มีการปรับแก้
และเสริมเติมนิดหน่อยจนเสร็จสมบูรณ์ สาระภาพเลยว่าการเขียนข่าว D-max ใหม่หมดนี้ ผมใช้คนเขียนถึง 3 คน
เพื่อให้งานนั้นรวดเร็วยิ่งขึ้น ทำให้ตอนนั้นเกิดอาการเพลียหัว คิดอะไรไม่แล่น จนต้องพักยาวเป็นอาทิตย์
แว๊บแรกที่เห็นรูปทรงของดีแมคซ์ใหม่ ยอมรับเลยว่าดู"ประหลาดแหะ!" รู้สึกที่ตะก่อนเป็นเหลี่ยมสัน
ตามสไตล์กระบะ แต่มีโค้งมนนิดๆ แต่พอมารุ่นใหม่นิแม่มดูแปลกๆแหะ แต่สวยมว๊ากกกกกขึ้นกว่าเดิม(เยอะเลย!!)
และมีอะไรที่เห็นถึงกับอึ้งกิมกีเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเครื่องเสียงที่ล่อลำโพงตั้ง 8 ตัว (คิดได้ไงง่ะ)
เรื่องออฟชั่นที่จัดมาให้ชนิดเหนือความคาดหมาย ทำเอาคู่แข่งหลายๆค่ายถึงกับอ้าปากค้างกันเลยทีเดียว
11 ตุลาคม 2554 เวลาประมาณ 11.00 น.
ผมได้เดินทางไปที่โชว์รูมอีซูซุ ธารา สาขาสำนักใหญ่ ขณะที่จอดรถก่อนถึงทางเข้าเพียงไม่กี่เมตร
จู่ๆ รถดีแมคซ์ใหม่หมด! ก็ขับผ่านหน้าผมแล้วเข้าโชว์รูม(จริงๆ เจอครั้งแรกตอนกำลังเดินทางไปโชว์รูมแล้วส่วนกันพอดี)
ผมเกิดอาการอึ้งและพูดว่า"เฮ้ย!! สวยว่ะ!" ไม่รอช้าเข้าโชว์รูมทันที พอเข้าไปถึงก็พบพนักงานขายชายหนุ่ม
ซึ่งก็พาผมและลูกค้าอีกท่านไปบริเวณศูนย์บริการเพื่อพบเจ้าดีแมคซ์ใหม่หมด! แล้วในที่สุดผมก็เจอมัน
แบบเต็มตาเสียที! หลังจากที่รูปแล้วรู้สึกว่าอยากขับจริงๆ เจ้าคันนี้!!
รถที่ผมได้สัมผัสนั้นคือรุ่น Spaec Cab V-Cross 3.0 Z-Prestige สีแดงทัสคานี ซึ่งเป็นตัวท็อปสุด
ที่มีค่าตัวอยู่ที่ 813,000 บาท รุ่นต่อมาคือ Spaec Cab V-Cross 2.5 Z ซึ่งจอดอยู่ข้างสีเดียวกัน
โดยมีค่าตัวอยู่ที่ 732,000 บาท ซึ่งทั้ง 2 ตัวนั้น เป็นรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ ที่ในอดีตมีนามว่า LS
และถัดมาที่พึ่งล้างรถเสร็จนั้นเป็นรุ่น Spaec Cab 2.5 Z สีทองซาวันน่า
ซึ่งมีราคาอยู่ 656,000 บาท ทั้ง 3 รุ่นนั้น ผมได้มีโอกาสสัมผัสและลองนั่งแบบสุขใจเกือบ 30 นาทีเลยก็ว่าได้
สำหรับล็อตที่มาถึงโชว์รูมนั้น ส่วนมากจะเป็นรุ่น Spaec Cab ทั้งขับเคลื่อน 2 ขับเคลื่อน 2 ยกสูง และ ขับเคลื่อน 4 ล้อ
โดยถ้าใครจะจองตัว Cab4 แล้วล่ะก็ คงต้องรอจนถึงเดือนพฤศจิกายน ส่วนใครจองรุ่นตอนเดียว (Spark) แล้วล่ะก็
ต้องรอในเดือนธันวาคม ส่วนเหตุผลนั้น....................................ผมไม่ทราบครับ!!!!!
เอาล่ะที่นี้เราเข้าเนื้อหากันดีกว่าสำหรับ All new Isuzu D-max หรือชื่อพี่ไทยที่เรียกันว่า "อีซูซุ ดีแมคซ์ รุ่นใหม่หมด!"
จนคำว่า"ใหม่หมด!" เป็นมุขที่เล่นนนนกันตั้งแต่เว็บพันทิปยันจนไปถึง Facebook กันเลยทีเดียว
สำหรับตัวรถอีซูซุ ดีแมคซ์ รุ่นใหม่หมด! นี้ได้ถึงพัฒนาขึ้นจากรุ่นเดิม(รหัส I-190) และรวมไปถึงศึกษาความต้องการ
ของผู้บริโภคชาวไทยเป็นหลักว่า ลูกค้าชอบแบบนี้และอะไรที่ลูกค้าต้องการ ก็มีการศึกษาขึ้น อีกทั้งอีซูซุเอง
ก็ได้ย้ายศูนย์วิจัยและพัฒนา Isuzu Technical Center of Asia มายังประเทศไทยเมื่อช่วง 2-3 ปีก่อน
ทำให้การวิจัยและพัฒนาตัวรถนั้นเข้าถึงความต้องการของผู้บริโภคชาวไทยมากขึ้น เหตุที่ย้ายศูนยืวิจัยมาที่ประเทศไทยนั้น
เพราะประเทศไทยเองเป็นประเทศที่มีคนใช้รถกระบะมากที่สุดในบรรดากระบะขนาด 1 ตันนั้น เป็นอันดับ 1 ของโลก
ซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในโลก แต่ถ้าเป็นขนาด 1.5 ตัน ยังแพ้อเมริกาอยู่ การย้ายศูนย์วิจับมาที่ประเทศไทยนั้น
ทำให้ทีมวิจัยและพัฒนา ทีมฝ่ายการตลาด ฝ่ายผลิต ทำงานง่ายขึ้นและเข้าใจผู้บริโภคมากขึ้น
ในการพัฒนาของกระบะอีซูซุที่มีรหัสโครงการ RT-50 แล้วยังมี Chevrolet มาร่วมพัฒนากระบะในรหัส GMI700
ซึ่งได้พัฒนารวมกัน เพียงแต่มีความแตกต่างมากขึ้นไปจากรุ่นก่อน รวมไปถึงเครื่องยนต์ที่คราวนี้
ต้องใช้คำว่า”ทางใครทางมัน”ได้เลย แต่ว่ารายละเอียดนั้นเราจะไปเจาะลึกกันส่วนของเครื่องยนต์นะครับ
การทำงานของพวกเขา เริ่มขึ้นจากการย้อนกลับไปศึกษาว่า สิ่งใดที่ทำให้รุ่นปัจจุบันขายดี ผู้บริโภคชอบและ
ไม่ชอบในประเด็นไหนบ้าง และดูความเคลื่อนไหวของคู่แข่งทุกค่าย แล้วรวบรวม นำข้อมูลมาแบ่งหมวดหมู่
ออกเป็น 120 ประเภท เพื่อใช้ในการพัฒนารถรุ่นนี้
เป้าหมายในการพัฒนา มี 4 หัวข้อสำคัญคือ เน้นความสะดวกสบาย ตัวรถต้องมีบุคลิกและอารมณ์สปอร์ต
ทันสมัย แต่ยังต้องมีรูปทรงมั่นคงหนักแน่น และยังคงความเป็น "มิตรร่วมทาง" คำหลังนี่สำคัญนะครับ
สำหรับผู้ใช้รถกระบะที่จะต้องขับรนถ กิน นอน ใช้ชีวิตกับรถ ในภาคขนส่งนั้นเยอะมาก และคนกลุ่มนี้
ก็อยากได้รถที่มีความเป็นมิตรในการใช้งานมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
สำหรับขนาดตัวถังของ All new Isuzu D-max นั้น ในรุ่น Space Cab ขับเคลื่อน 2 ล้อนั้น
มีความยาว 5,190 มม. กว้าง 1,775 มม. สูง 1,685 มม. (รุ่น S และ L นั้นจะเตี้ยกว่ารุ่น Z ถึง 10 มม.)
ถ้าเป็น Hi-Lander ความยาวเท่ากัน แต่ความกว้างนั้นอยู่ที่ 1,860 มม. ส่วนความสูงนั้น
ถ้าเป็นรุ่น L และ Z จะอยู่ที่ 1,780 มม. แต่ถ้าเป็น Z-Prestige จะสูงอีก 10 มม. (เพราะใส่แม็กและยางขนาด 17 นิ้ว)
ขนาดที่ Space Cab V-Cross เท่ากับ Hi-Lander เป๊ะ!
ขณะตัวถัง Cab4 2WD ความกว้างและยาวนั้นเท่ากับตัว Space cab แต่ความสูงจะเตี้ยกว่า Space Cab อยู่ 5 มม.
ส่วนรุ่น Hi-Lander Cab4 นั้นจะสูงในรุ่น L จะอยูที่ 1,785 มม. ถ้าเป็นรุ่น Z และ Z-Prestige จะอยู่ที่ 1,795 มม.
แต่ถ้าเป็นรุ่น V-Cross นั้น ในรุ่น L จะมีความสูงอยู่ที่ 1,840 มม. ถ้าเป็นรุ่น Z-Prestige จะสูงขึ้นอีก 10 มม.
แต่ถ้าหากโดยรวมและเทียบจากรุ่นเดิมแล้วจะยาวเพิ่มขึ้น 270 มม. ฐานล้อยาวเพิ่มขึ้นอีก 40 มม.
ช่วงล้อหน้า/หลัง เพิ่มไป 50/45 มม.
การออกแบบของ All New Isuzu D-max มีรหัสโครงการในการพัฒนา RT-50 ได้ใช้แนวคิด Aggressive Form
ใช้หลักการออกแบบ 3 มิติ เห็นเส้นสายคมสันราวกับมัดกล้ามต่อเนื่องรอบคันเน้นเรื่อง อากาศพลศาสตร์
เพื่อช่วยลดอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงในทางอ้อม ซึ่งทางวิศวกรเองได้ใช้อุโมงค์ลม 2 แห่งในการทดสอบ
เรื่องอากาศพลศาสตร์ของตัวรถ โดยอุโมงค์แรกนั้นได้ใช้ Pininfarina ประเทศอิตาลี ซึ่งเป็นอุโมงค์ลมสำหรับ
การทดสอบรถสปอร์ต (และเป็นสถานที่ที่เกิดภาพ Spyshot ภาพแรกและภาพเดียว)
และอีกที่หนึ่งคือ Japan Railway Technical Research Institute หรือ JR ที่ประเทศญี่ปุ่น
ซึ่งเป็นอุโมงค์ลมที่ใช้ทดสอบรถไฟหัวกระสุน หรือ Shinkansen นั้นเอง
การออกแบบของ All New isuzu D-max นั้น ถือได้ว่าฉีกจากรุ่นก่อนไปเลยก็ว่าได้
เพราะการออกแบบและเส้นสายของตัวรถนั้นมีความโค้งมนมากขึ้นให้ตัวรถลู่ลมที่ดีขึ้น
แต่มีความบึกบึนอยู่ในตัว กระจังหน้าของ All New Isuzu D-max นั้น ยังคงเป็นเอกลักษณ์
แบบ U-Shape แต่มีเส้นสายที่โฉบเฉี่ยวขึ้นและใหญ่ขึ้นตามขนาดตัวรถ พร้อมโลโก้ Isuzu ขนาดใหญ่!
พร้อมแถบโครเมียมเหนือโลโก้ ซึ่งถ้าเป็นรุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อนั้น จะเป็นสีเดียวกับตัวรถ แต่รุ่น S
จะเป็นสีเทาอ่อน ส่วนตัว Hi-Lander และ V-Cross จะเป็นโครเมียม
ไฟหน้าโปรเจ็คเตอร์แบบ Free From ซึ่งโคมภายในนั้นเป็นลักษณะสีดำพร้อมดวงโปรเจ็คเตอร์
โป่งล้อในตัว Hi-Lander และ V-Cross เปลี่ยนจากการใช้กาบแยกส่วนมาเปะกับตัวรถ
มาเป็นเชื่อมกับตัวรถไปเลย ฉะนั้นหากใครคิดจะติดยกสูงล่ะก็ ลงทุนสูงหน่อยนะ!
เส้นสายด้านข้างรถนั้นมีเส้นสายแบบ Katana Line ที่ได้แรงบันดาลจากดาบซามูไร
เพื่อให้ลู่ลมมากขึ้น กระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยวปรับระดับแบบไฟฟ้า ซึ่งถ้าเป็นรุ่น Z-Prestige
จะเป็นโครเมียม ส่วนรุ่น Z, L และ S เป็นสีเดียวกับตัวรถ ขณะที่ล้ออัลลอยด์นั้น
นรุ่น Space Cab ขับเคลื่อน 2 รุ่น Z จะเป็นแม็กขนาด 16 นิ้ว ลาย 6 ก้านคู่ แบบ 6.5Jx16
พร้อมยางขนาด 215/70R16C ส่วน Space Cab Hi-Lander และ รุ่น L และ Z กับ Cab4 Hi-Lander
รุ่น L และ V-Cross รุ่น Z จะเป็นขนาด 16 นิ้ว ลาย 6 ก้านเดียว แบบ 7.0Jx16 พร้อมยางขนาด 245/70R16
ขณะที่รุ่น Cab4 2WD รุ่น L จะเป็นขนาด 15 นิ้ว ลาย 6 ก้านเดียว แบบ 6.5Jx15 พร้อมยางขนาด 215/70R15C
ส่วนรุ่น Z-Prestige ทั้ง Space Cab และ Cab4 นั้นจะใช้ล้ออัลอยด์ตัวเดียวกันคือขนาด 17 นิ้ว ลาย 5 ก้านเดียว
แบบ 7.0Jx17 พร้อมยางขนาด 255/65R17 ด้านท้ายของตัวรถนั้นมีการออกแบบให้มีความบึกบึนแข็งแกร่ง
แถมลู่ลมยิ่งขึ้นพร้อมติดตั้งไฟท้ายแบบ LED ขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นกระบะรายแรกในเมืองไทย พร้อมไฟเบรกดวงที่ 3
แต่ฝากระบะท้ายนั้นแม้จะมีดีไซน์ที่ดีขึ้น แต่ยังคงใช้เหล็กในการยึดฝากระบะเวลาเปิดฝาเพื่อบรรทุกสะดวก
ถึงแม้ค่ายอื่นจะสลิงก็ตาม แต่อีซูซุคงมองระยะยาวเกี่ยวกับความทนทานในการใช้งาน จึงยังคงใช้เหล็กอยู่เหมือนเคย
(และเชฟโรเลตเองก็ใช้แบบนี้ด้วยเช่นกัน)
ที่สำคัญในรุ่น Space Cab นั้น ได้ติดตั้งประตูบานแค็บเปิดได้ ซึ่งอีซูซุเรียกว่า "Super Space Cab" ซึ่งความกว้างนั้น
ถ้าจะเทียบกับ Hilux Vigo Champ Smart Cab แล้วนั้นถือว่าอยู่ในแบบกึ่งๆคือจะแคบก็ไม่แคบ จะกว้างก็ไม่กว้าง
แต่เดี๋ยวยังไงจะไปลองนั่งอีกรอบเพื่อวัดว่าค่ายไหนกว้างกว่ากัน ส่วนคนตัวสูงนั่งได้สบายรึเปล่า? ความสูง 172 ซม.
อย่างผมนั้นโอเคไหม? ลองดูภาพด้านล่าง
เท่าที่ผมลองนั่งพบว่านั่งสบายอยู่แต่อึดอัดนิดนึง ซึ่งยังดีกว่า Nissan Navara ที่แคบซะอย่างกะอัดปลากระป๋อง
ส่วนที่เปิดประตูบานแค็บจะอยู่ด้านในได้ไอเดียมาจาก Toyota Hilux Vigo Champ เป๊ะ!!
ภายในของ All New Isuzu D-max นั้น ภายในได้ดีไซน์แบบ Deluxe Capsule ใน Universal Design โดยยึดถือผู้ใช้รถ
เป็นศูนย์กลางโดยปรับรูปทรงต่างๆ ให้เข้ากับสรีระของผู้ใช้มากที่สุด พูดง่ายๆ ก็คือมีความเป็นมิตรต่อผู้ใช้งาน
โดยมีคอนเซปต์คือ Raku Raku (Comfortable; สะดวกสบาย) Kentan (Easy; ออกแบบให้ง่ายต่อการใช้งาน)
และ Anata Shidai (Up to you; เพิ่มมิติการใช้งานที่หลากหลายมากขึ้น โดยสามารถออกแบบ
การใช้งานได้ตามความต้องการของแต่ละบุคคล)
ตัวอย่างเช่น ประเด็น ทัศนวิสัย ในรถรุ่นเดิม ความสูงของเบาะเตี้ยไปหน่อย สำหรับคนยุโรป ไม่มีปัญหา
แต่สำหรับคนไทย และคนเอเซีย นั่นจะทำให้นั่งลำบาก ควบคุมรถไม่ไดีดี ในรถรุ่นใหม่ จึงปรับปรุงตำแหน่ง
เบาะนั่งใหม่ ไม่เว้นแม้แต่ตำแหน่ง และมุมนต่างๆของฝากระโปรง รวมทั้งแผงคอนโซลจนได้ทัศนวิสัยที่ดีขึ้น
งานนี้ ทีมออกแบบ เล่นใช้วิธี บันทึกวีดีโอเทป พฤติกรรมการขับขี่ของลูกค้าชาวไทย หลายๆคน แล้วนำมา
ออกแบบอุปกรณ์ต่างๆภายในรถ ยกตัวอย่างเช่น ช่องเก็บของอเนกประสงค์ และช่องวางแก้วน้ำหลายจุด
เป็นผลจากการศึกษาพฤตติกรรมด้วยวิธีการดังกล่าว
สำหรับการตกแต่งในรุ่น V-Cross ทั้งรุ่น Z และ Z-Prestige จะเน้นเป็นสีดำ เบาะผ้า
ขณะที่ Space Cab 2WD Z จะเป็นทูโทนสีครีมตัดกับสีดำผสมแผงเมททัลลิค
พวงมาลัยในรุ่น Z และ Z-Prestige จะใช้วัสดุหุ้มหนัง ส่วนรุ่นต่ำลงมานั้นจะเป็นวัสดุแบบธรรมดา
เบาะนั้นถือว่าออกแบบตำแหน่งและทำสรีระได้ดี นั่งสบายแต่ไม่ถึงขั้นสบายมาก โดยถ้าเป็นรุ่นทั่วไป
ฝั่งคนขับจะมีที่เพิ่มความสูง-ต่ำของเบาะ ส่วนรุ่น Z-Prestige จะเป็นเบาะหุ้มหนังปรับไฟฟ้า 6 ทิศทาง
มาตรวัดแบบ Super Vision ใหม่ที่คราวนี้เปลี่ยนในเรื่องของโทนสี ฟอนต์ที่อ่านง่ายสบายตายิ่งขึ้น
และการใช้งานที่ง่ายยิ่งขึ้น แต่ยังยึดรูปแบบเดิมคือเมื่อคุณบิดกุญแจไปที่ ON เข็มไมล์ก็จะกวาดจนสุด
แล้วกลับมาที่ 0 แล้วไฟเรือนไมล์ จะค่อยๆสว่าง โดยการจัดตำแหน่งใหม่นั้นมีการออกแบบให้มาตรวัดรอบอยู่ฝั่งซ้าย
ส่วนมาตรวัดความเร็วอยู่ฝั่งขวา พร้อมใส่จอ MID อยู่ตรงกลางเรือนไมล์ แถมเอาใจลุกค้าชาวไทยแบบสุดตรีน
ด้วยการเพิ่มภาษาไทยลงในตัว MID ทำให้ผู้ขับขี่สามารถอ่านข้อมูลง่ายขึ้น แต่ใช่ว่าจะมีภาษาไทยแค่อย่างเดียว
ถ้าลูกค้าฝรั่งมาซื้อดีแมคซ์ใหม่แล้ว อ่านภาษาไทยไม่ออกล่ะก็ซวยล่ะสิ ก็เลยใส่ภาษาอังกฤษไปด้วย
(เว้นเสียแต่ว่าจะมีคนไทยแบ้างคนชอบภาษาอังกฤษอยู่)
ขณะที่แผงคอนโซลตรงกลางนั้น มีการออกแบบให้การใช้งานนั้นไม่ต้องเอื้อมมือมากจนเกินไป ซึ่งผมได้ลองนั่งฝั่งคนขับ
แล้วลองเอื้อมไปแถวๆพวกวิทยุ ถือว่าจักสรีระได้ดี แล้วเน้นให้ผู้ขับขี่เป็นหลัก ขณะที่วิทยุของ All New Isuzu D-max
นั้น ถ้าเป็นรุ่น S จะเป็นวิทยุแบบ 1 DIN MP3 ซีดี 1 แผ่น ส่วนสูงขึ้นมาอย่าง L และ Z (2WD และ V-Cross)
จะเป็นแบบ 2 DIN MP3 ซีดี 1 แผ่น พร้อมช่อง AUX และ USB แต่ถ้าเป็น Z ใน Hi-Lander และ Z-Prestige
ทั้ง Hi-Lander และ V-Cross จะเป็นเครื่องเล่น DVD ซึ่งจะต่างกันก็ตรงที่รุ่น Z จะเป็น DVD ของ Isuzu
ซึ่งทำออกได้ดี โดยที่ตัวเครื่องเล่นนั้นจะ Built-in ไปกับแผงคอนโซล ส่วนรุ่น Z-Prestige
จะได้ DVD ของ Kenwood เหมือนเคย เพียงแต่มีการเปลี่ยนชุดเครื่อง DVD ใหม่ ที่เร็วยิ่งกว่ารุ่นเดิม
แถมความคมชัดของจอนั้นได้เปลี่ยนใหม่ ซึ่งมีความละเอียดถึง 1.15 ล้านพิเซก พร้อมระบบนำทาง i-Genii
ที่ได้เพิ่มฟังก์ชั่นรายงานสภาพการจราจรผ่านดาวเทียม นอกจากนี้ยังได้ติดกล้องมองหลังซึ่งจะแสดงผลบนจอ DVD
พร้อมเส้นกะระยะ ขณะที่เครื่องปรับอากาศ ถ้าเป็นรุ่นธรรมดาทั่วไปจะเป็นแบบมือหมุน แต่ถ้าเป็นรุ่น Z-Prestige
อีซูซุได้ยัดเครื่องปรับอากาศอัตโนมัติแบบดิจิตอล ซึ่งเป็นครั้งแรกในกระบะเมืองไทย
หากจะพูดถึงการออกแบบภายใน ในเชิงวิศวกรนั้นโดยรวมแล้วล่ะ ยกมาจากเชฟโรเลตเลยก็ว่าได้
เพียงแต่มีอยู่ 3 จุดที่แตกต่างคือ มาตรวัด ไฟคอนโซล และเกียร์ M-Mode ที่ในอีซูซุ ตัว +- จะอยู่ฝั่งขวา
ส่วนเชฟโรเลตจะอยู่ฝั่งซ้าย
ขณะที่ลำโพงที่ให้นั้น ถือได้ว่าจัดเต็มจริง เพราะถ้าเป็นรุ่น 2 ประตูจะให้ลำโพงมา 6 ตัว คือ
ตรงเสา A 2 ตัว ประตูข้าง 2 ตัว และบนเพดานอีก 2 ตัว! ส่วนในรุ่น 4 ประตู จะมีลำโพงมาให้ 8 ตัว
คือตรงเสา A 2 ตัว ประตูบานหน้า 2 ตัว ประตูบานหลัง อีก 2 ตัวและ บนเพดานอีก 2 ตัว ซึ่งบอกได้เลยว่า
ให้เสียงแบบ Surround กระหึ่มเลยทีเดียว
เครื่องยนต์
เครื่องยนต์ของ All New Isuzu D-max ได้รับการปรับปรุงทั้งชิ้นส่วน เครื่องยนต์ แม้จะใช้พื้นฐานเดิมก็ตาม
แต่ได้ปรับในเรื่องพละกำลังที่แรงขึ้นและแรงบิดที่มีมากขึ้น ซึ่งการพัฒนานั้นแม้ว่าจะไม่มีเชฟโรเลตมาช่วย
ในการพัฒนาเครื่องยนต์ก็ตาม เพราะเชฟโรเลตเองก็ไปพัฒนาเครื่องยนต์ของตัวเอง แต่อีซูซุก็สามารถพัฒนาเครื่องยนต์
จนได้ตัวเลขที่พอใจ ในการพัฒนาเครื่องยนต์นั้นนอกจากจะให้พละกำลังที่แรงขึ้นและประหยัดน้ำมันขึ้นแล้ว
ยังต้องเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอีก เพราะระบบจ่ายน้ำมันที่ใช้นั้นเป็นแบบ Commonrail เจเนอเรชั่น 3.5
ซึ่งอีซูซุเองได้ทดสอบแล้วว่าผ่านมาตรฐานไอเสียทั้ง Euro 3 Euro 4 และยังรองรับมาตรฐาน Euro 5 อีกด้วยครับ
สำหรับเครื่องยนต์นั้นมีให้เลือกถึง 3 บล็อกได้แก่
- 4JJ1-TCX ขนาด 3,000 ซีซี 4 สูบแถวเรียง DOHC 16 วาล์ว ระบายความร้อนด้วยน้ำ คอมมอนเรลไดเรคอินเจ็คชั่น
พร้อมระบบเทอร์โบแปรผัน VGS และอินเตอร์คลูเลอร์ ให้แรงม้าสูงสุด 177 แรงม้า (130 กิโลวัตต์)
ที่ 3,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 380 นิวตัน-เมตร ที่ 1,800 - 2,800 รอบ/นาที
-4JK1-TCX ขนาด 2,500 ซีซี 4 สูบแถวเรียง DOHC 16 วาล์ว ระบายความร้อนด้วยน้ำ คอมมอนเรลไดเรคอินเจ็คชั่น
พร้อมระบบเทอร์โบแปรผัน VGS และอินเตอร์คลูเลอร์ ให้แรงม้าสูงสุด 136 แรงม้า (100 กิโลวัตต์)
ที่ 3,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 320 นิวตัน-เมตร ที่ 1,800 - 2,800 รอบ/นาที
-4JK1-TC ขนาด 2,500 ซีซี 4 สูบแถวเรียง DOHC 16 วาล์ว ระบายความร้อนด้วยน้ำ คอมมอนเรลไดเรคอินเจ็คชั่น
พร้อมระบบเทอร์โบและอินเตอร์คลูเลอร์ ให้แรงม้าสูงสุด 116 แรงม้า (85 กิโลวัตต์) ที่ 3,600 รอบ/นาที
แรงบิดสูงสุด 280 นิวตัน-เมตร ที่ 1,800 - 2,200 รอบ/นาที
จับคู่กับเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะบบ Shift Sport ซึ่งหลังจากที่ลองขยับเกียร์มารู้สึกว่าทำได้ดีกว่ารุ่นเดิม
เพราะรุ่นเดิมจะออกแนวแข็งๆ แต่พอมารุ่นนี้ถือได้ว่าให้การเข้าเกียร์ง่ายขึ้น ซึ่งอยู่ในช่วงกำลังดี
และเกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด แบบ Rev Tronic ซึ่งมีโหมด + - ให้เล่นกันสนุก ซึ่งรุ่นนี้ไม่มาที่โชว์รูม!
ซึ่งจะมาพร้อมระบบ Isuzu Insight ระบบควบคุมและรายงานพฤติกรรมการขับขี่
โดยการทำงานของมันนั้นให้นึกภาพกล้องดำที่อยู่บนเครื่องบิน ซึ่งมีหน้าที่บันทึกข้อมูลการเดินทาง
แต่ในอีซูซุนั้นจะใช้ระบบกล่อง ECM เป็นกล่องดำ ซึ่งจะทำหนัที่บันทึกและประมวลผลโดยนำ
ปัจจัยสำคัญ 5 ด้านที่เกิดจากการขับขี่จริง ได้แก่ ความเร็ว, ช่วงรอบเดินเบา,ช่วงรอบเครื่องยนต์, การใช้เบรก
และการเหยียบคันเร่ง นำมาวิเคราะห์ และประมวลผลพฤติกรรมการขับขี่ในชีวิตประจำวันของผู้ใช้รถ
อย่างละเอียดแล้วเมื่อคุณนำรถเข้าศูนย์บริการนั้น พนักงานก็จะพิมพ์รายละเอียด
และปริมาณว่าผู้ขับขี่คนนี้ใช้ความเร็วมากน้อยเพียงใด ซึ่งจะมีเกณฑ์การให้คะแนนและมีกราฟแสดง
การขับขี่ว่าผู้ขับขี่คนนี้มีพฤติกรรมการขับขี่อย่างไร
ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อของ All new Isuzu D-max ได้เปลี่ยนจากเดิมที่ใช้เป็นปุ่มกด มาเป็นสวิตช์เรียกระบบนี้ว่า Terrain Command
ซึ่งสวิตช์ควบคุมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ สามารถปรับระบบขับเคลื่อนได้ตามต้องการทั้ง 4 ล้อ และ 2 ล้อ
โดยการปรับแบบ 2H ขับเคลื่อน 2 ล้อ ขณะขับรถบนถนนปกติ หรือทางหลวง ให้อัตราเร่งที่ดี และประหยัดน้ำมัน
ส่วน 4H ขับเคลื่อน 4 ล้อ ความเร็วสูง สามารถปรับได้ที่ความเร็วไม่เกิน 100 กม./ชม. โดยไม่ต้องหยุดรถ
เหมาะกับการขับขี่บนถนนเปียก ทางฝุ่น และถนนอื่นๆ ที่รถต้องใช้แรงยึดเกาะมากกว่า ระบบขับเคลื่อน 2 ล้อ และ 4L
ขับเคลื่อน 4 ล้อ กำลังฉุดลากสูงสุด เหมาะสำหรับทางลาดชัน ทางขรุขระ ทราย โคลน และถนนอื่นๆ
ที่รถต้องการกำลังเครื่องยนต์เป็นพิเศษ โดยจะต้องจอดรถให้สนิท แล้วจึงปรับจาก 4H เป็น 4L
ช่วงล่างของ All new Isuzu D-max ได้มีการเปลี่ยนใหม่ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นแชสซีส์ Multi-piece Rip Rail
พื้นที่หน้าตัดขนาด 90 x 173.6 มม. ใหญ่ขึ้นกว่าเดิมถึง 42% ส่วนช่วงล่างด้านหน้านั้นจากรุ่นเดิม
ที่ตัวยกสูงต้องใช้โช้คอัพแก็ส แต่พอมารุ่นนี้ได้เปลี่ยนมาใช้คอยสปริงทุกรุ่น ซึ่งช่วงล่างด้านหน้า
เป็นแบบอิสระแบบปีกนก 2 ชั้น พร้อมคอยล์สปริง
ส่วนช่วงล่างหลังเป็นแหนบแบบยาวพิเศษ (Long Spam)
พร้อมโช้คอัพ โดยในรุ่นยกสูงนั้นได้ทำการเอาแหนบมาอยู่เหนือเพลาแล้ว (เย้!) เพื่อให้ตัวรถสูงขึ้น
นอกจากนี้ยังได้จัดวางเครื่องยนต์ใหม่ให้อยู่เยื้องกับหลังล้อคู่หน้า เพื่อให้ตัวรถสมดุลมากขึ้น
การเซ็ทช่วงล่างใหม่นี้ทำให้มีรัศมีวงเลี้ยวถึง 6.0 เมตร ในรุ่น 2WD และ 6.3 เมตร ในรุ่น 4WD และ Hi-Lander
ส่วนความปลอดภัยนั้นถือได้ว่าอีซูซุได้ใส่มาให้ โดยปรับหม้อลมเบรกให้ใหญ่ขึ้นอีก 10.5 มม. พร้อม Tied-bar
ดิสก์เบรกหน้าขนาดใหญ่ 300 มิลลิเมตร ในรุ่น Hi-Lander พร้อมคาลิปเปอร์ แบบลูกสูบคู่
ซึ่งจะทำงานพร้อมกับระบบเบรก ABS กระจายแรงเบรกด้วย EBD และยังเพิ่มระบบเสริมแรงเบรก BA
แต่ถ้าเป็นรุ่น Cab4 Z-Prestige ล่ะก็ ได้เสริมระบบควบคุมการทรงตัว ESP และ ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี TCS
ขณะที่โครงสร้างตัวรถนั้น เป็นโครงสร้างตัวถังแบบเหล็กกล้า High Tensile Strength Steel ความแข็งแกร่งสูง
ผลิตด้วยเทคโนโลยี Tailor Welded Blank โดยใช้เหล็กหนาพิเศษ ถ้าเป็นรุ่น Space Cab มีการออกแบบโครงสร้าง
ตัวรถใหม่หมดและประตูบานแค็บได้ใช้โครงสร้างเสาเหล็กกล้าแบบขึ้นรูปชิ้นเดียว เพื่อให้ความปลอดภัยยิ่งขึ้น
พร้อมทั้งยังมีถุงลมนิรภัยแบบ Dual SRS เข็มขัดนิรภัยแบบรั้งกลับอัตโนมัติ Pretensioner Safety Belts
สรุปยังไม่เป็นแก่น! :คราวนี้แหละที่อีซูซุจะโค่นโตโยต้าวีโก้ได้ แต่อยู่ที่ว่าลูกค้าจะตอบรับมากน้อยเพียงใด
ในช่วงที่ Isuzu D-max ได้เปิดตัวครั้งแรกเมื่อเดือนพฤษภาคม 2545 แล้วผู้คนได้ให้ความสนใจกันเป็นจำนวนมาก
จนตอนนี้มีอายุแล้ว 9 ปี สำหรับ Isuzu D-max ที่นอกจากเค้าจะแข่งกับคนอื่นแล้ว เค้าต้องแข่งกับตัวเอง
และสิ่งที่ลูกค้าไม่ชอบหรือลูกค้าต้องการ All New Isuzu D-max ก็ได้เพิ่มเข้ามาเพื่อตอบโจทย์ลูกค้ามากขึ้น
อีกทั้ง Isuzu ยังมีออฟชั่นที่หลายๆค่ายรถยนต์ต่างมองข้าม เพราะไม่จำเป็น หรือ ในเรื่องต้นทุน
อย่างเช่น กล้องมองหลัง ซึ่งไม่มีใครคาดคิดว่าอีซูซุจะติดตั้งมาให้ และครั้งนี้ Isuzu ก็ได้ปรับดีแมคซ์รุ่นนี้ชนิดใหม่หมดทั้งคัน
ซึ่งเป็นการพิสูจน์ว่าตลอด 9 ปีที่ผ่านมา Isuzu ได้รับเสียงชมและเสียงติจากลูกค้ามากพอสมควร แล้วรถรุ่นนี้เอง
ถือได้ว่าเป็นรถที่ตอบโจทย์ลูกค้าได้มากที่สุด ทั้งพละกำลังที่เพิ่มขึ้นขึ้นจากรุ่นก่อน เทคโนโลยีที่เจ๋งขึ้น
และการวางตำแหน่งเบาะนั่งวัสดุที่ใช้ที่ดีขึ้นจากรุ่นก่อน
ผมคงไม่พูดอะไรมาก เพราะอยากให้คุณผู้อ่านเอง เดินทางไปที่โชว์รูมอีซูซุแล้วสัมผัสตัวรถกันจริงๆ
ลองขับแล้วมาพิจารณาว่า"รถรุ่นนี้เวิร์คไหม สำหรับเรา?" ถ้าใช่"รถรุ่นนี้แหละที่ตอบโจทย์สำหรับเราได้ดี"
แต่ถ้าไม่ใช่ ก็คงต้องไปพิจารณาใหม่ว่า"กระบะคันไหนเหมาะสมและตอบโจทย์ตัวคุณได้มากที่สุด"
ส่วนการทดสอบนั้น First Check เจอกัน!