หลังจากที่รัฐบาลปิดโครงการรถคันแรกไปเมื่อปลายปี 2555 ที่ผ่านมา เชื่อว่าผู้เข้าร่วมโครงการนี้หลายคน คงเริ่มทยอยรับรถที่จองไว้กันมาบ้างแล้ว ซึ่งมือใหม่หัดจองรถทั้งหลาย อาจจะยังไม่ทราบว่า เมื่อได้รับรถครบ 1 ปี จะต้องมีการต่อภาษีรถยนต์ประจำปีกันด้วย ดังนั้นวันนี้เราจะมาทำความเข้าใจวิธีการต่อภาษีรถยนต์ประจำปีกันครับ
เริ่มต้นนั้น ทางเจ้าของรถจะได้รับจดหมายแจ้งเตือนให้ต่อทะเบียนรถยนต์จากทางไฟแนนซ์เสียก่อน โดยระยะเวลาที่ได้จดหมายนั้น จะได้ก่อนทะเบียนหมดอายุประมาณ 60 วัน อย่างไรก็ตาม สำหรับคนที่ผ่อนรถหมดแล้ว จะไม่มีจดหมายแจ้งเตือนมาให้ ต้องนำรถไปต่อทะเบียนเองนะครับ
จากนั้นขั้นตอนต่อไปก็คือ จัดการเรื่อง พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535 หรือพูดตามภาษาชาวบ้านนั่นก็คือ จัดการเรื่องประกันภัยให้เสร็จ แล้วก็ค่อยเตรียมหนังสือการจดทะเบียนรถยนต์เป็นลำดับต่อมา ซึ่งหลักฐาน 2 ชิ้นนี้เป็นหลักฐานหลักสำหรับการต่ออายุทะเบียนรถยนต์ อย่างไรก็ตาม ยังมีกรณีอื่น ๆ ที่ต้องใช้หลักฐานมากกว่า 2 ชิ้นที่ระบุไป ดังนี้
1. หากรถของท่านจดทะเบียนมากกว่า 7 ปี จะต้องมีหลักฐานเพิ่มเติม คือ ใบรับรองการตรวจสภาพรถยนต์ (ตรอ.) โดยสามารถนำรถไปตรวจได้ที่สถานตรวจสภาพรถของเอกชน ที่ได้รับการรับรองจากกรมขนส่งทางบกได้ทันที
2. กรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงเครื่องยนต์เป็นก๊าซ CNG/LPG จะต้องขอหนังสือรับรองการตรวจสภาพรถประจำปีตัวจริง
เมื่อเตรียมหลักฐานเสร็จเรียบร้อยแล้ว มาดูกันถึงเรื่องช่องทางการต่อภาษีรถยนต์กันบ้าง ซึ่งสามารถต่อภาษีได้ที่กรมการขนส่งทุกจังหวัด โดยต้องนำหลักฐานที่ระบุไว้ไปยื่นต่อทะเบียน เพียงเท่านี้ก็เสร็จสิ้น
นอกจากนี้ ยังมีวิธีการต่อทะเบียนอื่น ๆ เป็นวิธีรองลงมา ได้แก่
1. การเสียภาษีแบบเลื่อนล้อ
เป็นการเสียภาษีที่หน้าอาคาร 3 ภายในกรมการขนส่งทางบก หรือ สำนักงานขนส่ง จ.เชียงใหม่, นครราชสีมา, ขอนแก่น, สุราษฎร์ธานี และนนทบุรี ในวันจันทร์-ศุกร์ ตั้งแต่เวลา 07.30-15.30 น. โดยวิธีนี้สามารถต่อทะเบียนได้โดยไม่ต้องลงจากรถ
2. ที่ทำการไปรษณีย์ทุกสาขา
มีเงื่อนไขยกเว้นรถที่มีภาษีค้างชำระเกิน 1 ปี โดยที่นายทะเบียนไม่ได้ประกาศยกเว้นการตรวจสภาพรถก่อนเสียภาษีประจำปี อย่างไรก็ตาม จะไม่สามารถยื่นชำระได้ก่อน 3 เดือน นับตั้งแต่ครบกำหนดเสียภาษี ยกเว้นรถที่มีภาษีค้างชำระ สามารถยื่นได้ทันที
3. ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)
มีเงื่อนไขยกเว้นรถที่มีภาษีค้างชำระเกิน 1 ปี โดยที่นายทะเบียนไม่ได้ประกาศยกเว้นการตรวจสภาพรถก่อนเสียภาษีประจำปี อย่างไรก็ตาม จะไม่สามารถยื่นชำระได้ก่อน 3 เดือน นับตั้งแต่ครบกำหนดเสียภาษี ยกเว้นรถที่มีภาษีค้างชำระ สามารถยื่นได้ทันที
4. ห้างสรรพสินค้า ( Shop Thru for Tax)
สามารถเสียภาษีได้ที่ห้างบิ๊กซี 13 สาขา คือ ลาดพร้าว, รามอินทรา, รัชดาภิเษก, บางปะกอก, เพชรเกษม, สุขาภิบาล 3, อ่อนนุช, แจ้งวัฒนะ, สำโรง, บางบอน, สุวินทวงศ์, ศรีนครินทร์ และบางใหญ่ ในวันเสาร์-อาทิตย์ ตั้งแต่วลา 09.00-18.00 น.
5.เคาน์เตอร์เซอร์วิส (Counter Service)
สามารถจ่ายได้ที่ร้านค้าที่มีสัญลักษณ์เคาน์เตอร์เซอร์วิสทุกสาขา โดยหลังจากชำระภาษีเสร็จแล้ว ทางกรมการขนส่งจะส่งใบเสร็จและป้ายติดหน้ารถไปให้ภายใน 10 วัน โดยมีค่าบริการเคาน์เตอร์เซอร์วิส 20 บาท และค่าจัดส่งป้าย 40 บาท
อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันนี้ มีการต่ออายุทะเบียนรถยนต์เพิ่มอีกหนึ่งวิธี นั่นคือ การต่อทะเบียนออนไลน์ ผ่านเว็บไซต์กรมการขนส่ง
www.dlte-serv.in.th ซึ่งทำให้การต่อทะเบียนรถยนต์สะดวกมากขึ้น ไม่ต้องนำรถไปต่อคิวตามสถานที่ให้บริการอีกแล้ว มีขั้นตอนดังต่อไปนี้
1. สมัครสมาชิก เว็บไซต์
www.dlte-serv.in.th พร้อมกับกรอกข้อมูลส่วนตัวให้ครบ
2. จากนั้นก็ล็อกอินเข้าไป เลือก "ลงทะเบียนรถ" จากนั้นก็กรอกรายละเอียดรถให้ถูกต้อง โดยขั้นตอนนี้จะมีให้เลือกรูปแบบการจ่ายเงินที่ต้องการด้วย เช่น ตัดผ่านบัญชีธนาคาร, ตัดบัตรเครดิต, จ่ายที่เคาน์เตอร์ เป็นต้น
3. กด "ตกลง" ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย
เมื่อต่อทะเบียนออนไลน์เสร็จสิ้นแล้ว ทางกรมการขนส่งก็จะส่งเอกสารมาที่บ้าน นับว่าเป็นอีกวิธีหนึ่งที่สะดวก และเป็นวิธีที่นิยมของคนรุ่นใหม่มากขึ้นอีกด้วย อย่างไรก็ตาม รถที่มียอดค้างชำระเกิน 3 ปี ไม่สามารถชำระได้ด้วยวิธีนี้ และหากใครที่ยังไม่ซื้อ พ.ร.บ. ก็สามารถซื้อได้ทางออนไลน์ผ่านเว็บไซต์นี้ได้เช่นเดียวกัน
ทั้งหมดนี้ ก็เป็นวิธีการต่อทะเบียนทั้งหมดของรถยนต์ ซึ่งค่าใช้จ่ายในการต่อทะเบียน 1 ครั้งประมาณ 1,600 บาท ขณะที่การต่อทะเบียนรถจักรยานยนต์ จะมีรายละเอียดแตกต่างกับรถยนต์บ้างเล็กน้อย เช่น ต้องมีใบตรวจสภาพเมื่อใช้งานรถ 5 ปี (รถยนต์ 7 ปี), ค่าใช้จ่ายในการต่อทะเบียนจะถูกกว่า เป็นต้น
-------------------------------------------------------------------------------------------------
เรื่องเอกสารราชการมันเป็นเรื่องยุ่งยากน่าปวดหัว จนหลาย ๆ ท่านละเลยที่จะเรียนรู้ นักขับหน้าใหม่ก็มักจะประสบปัญหาเรื่องเอกสารเกี่ยวกับรถอย่าง ต่อ พ.ร.บ รถยนต์ ที่ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไร? เตรียมเอกสารอะไรบ้าง? ราคาเท่าไหร่? เราจึงขอนำความรู้เกี่ยวกับ พ.ร.บ รถยนต์ มาบอกต่อครับ
พ.ร.บ รถยนต์ คืออะไร?
พ.ร.บ. คือทำประกันภัยภาคบังคับตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ.2522 ให้ทุกคันต้องมีโดยจะคุ้มครองแค่ "บุคคล" เท่านั้น
พ.ร.บ รถยนต์ มีความสำคัญอย่างไร?
เนื่องจากเป็นประกันภัยชนิดหนึ่ง สามารถเบิกค่ารักษาพยาบาลได้โดยจ่ายไม่เกิน 50,000 บาทต่อคน กรณีเสียชีวิต สูญเสียอวัยวะ และทุพพลภาพถาวร ชดเชยจำนวน 200,000 บาท และหากต้องรักษาต่อเนื่องในโรงพยาบาลในฐานะคนไข้ใน จะได้รับวันละ 200 บาท ไม่เกิน 20 วัน
ถ้าไม่มี พ.ร.บ รถยนต์ จะต้องเสียอะไรบ้าง?
มีโทษปรับเนื่องจากไม่แสดง พ.ร.บ รถยนต์ ไม่เกิน 1,000 บาทและหากเราไม่ได้ต่อ พ.ร.บ รถยนต์ ก็ไม่สามารถต่อทะเบียนรถยนต์ได้ ก็จะมีโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท
ต่อ พ.ร.บ. รถยนต์ ต้องทำอย่างไร?
ส่วนใหญ่การต่อ พ.ร.บ. รถยนต์จะทำควบคู่ไปกับการต่อทะเบียนรถ เอกสารที่ต้องเตรียมมีแค่สำเนาทะเบียนและบัตรประชาชน 1 ใบ มีบริษัทประกันภัยเป็นผู้รับทำ โดยสามารถไปต่อได้ที่กรมขนส่งในแต่ละจังหวัด
แต่ในยุคใหม่อินเทอร์เน็ตมีบทบาทมากขึ้น โดยเราสามารถ ต่อ พ.ร.บ. รถยนต์และทะเบียนรถยนต์ได้ที่เว็บไซค์ของกรมการขนส่ง
www.dlte-serv.in.th
สามารถชำระเงินผ่านบัตรเครดิตรได้ทันที หรือนำ reference no. พร้อมจำนวนเงินที่ต้องชำระได้ที่เคาเตอร์ธนาคารและร้านสะดวกซื้อตามรูป
เมื่อชำระเงินเรียบร้อย ทางกรมขนส่งจะส่ง พ.ร.บ. รถยนต์ และ ทะเบียนรถยนต์ ทางไปรษณีย์มาที่บ้านภายใน 7 วัน
ต่อ พ.ร.บ. รถยนต์ มีค่าใช้จ่ายเท่าไร?
อัตราเบี้ยราคา พ.ร.บ. ที่กฎหมายกำหนด ของรถแต่ละประเภท (รวมภาษี 7% แล้ว)
รถยนต์นั่งไม่เกิน 7 คน (รถเก๋ง) เบี้ยรวม = 645.21 บาท
รถยนต์โดยสารเกิน 7 คน ไม่เกิน 15 ที่นั่ง รถตู้ เบี้ยรวม = 1,182.35 บาท
รถยนต์โดยสารเกิน 15 คน ไม่เกิน 20 ที่นั่ง เบี้ยรวม = 2,203.13 บาท
รถยนต์โดยสารเกิน 20 คน ไม่เกิน 40 ที่นั่ง เบี้ยรวม = 3,437.91 บาท
รถยนต์โดยสารเกิน 40 ที่นั่ง เบี้ยรวม = 4,017.85 บาท
รถยนต์บรรทุกไม่เกิน 3 ตัน (ปิคอัพ) เบี้ยรวม = 967.28 บาท
รถยนต์บรรทุกเกิน 3 ตัน ถึง 6 ตัน เบี้ยรวม = 1,310.75 บาท
รถยนต์บรรทุกเกิน 6 ตัน ถึง 12 ตัน เบี้ยรวม = 1,408.12 บาท
รถยนต์บรรทุกเกิน 12 ตัน เบี้ยรวม = 1,826.49 บาท
ทั้งนี้เมื่อไปต่อ พ.ร.บ. รถยนต์กับตัวแทนประกันต่าง ๆ ก็จะมีส่วนลดทำให้ราคาถูกกว่าที่กฎหมายกำหนด แน่นอนส่วนจะลดมากลดน้อยก็แล้วแต่ประกันครับ
การต่อ พ.ร.บ. รถยนต์ ซึ่งนักขับหน้าใหม่หลาย ๆ ท่านอาจโยนภาระนี้ให้ไฟแนนซ์จัดการ และเสียค่าบริการตั่งแต่ 100-500 บาทเลยทีเดียว ทั้งนี้การ ต่อ พ.ร.บ. รถยนต์และการต่อทะเบียนรถ นั้นทำปีละครั้งหากมีเอกสารพร้อม รู้ขั้นตอนแล้ว ไปทำที่ขนส่งไม่เกิน 1 ชม. ก็เสร็จ หรือผู้ไม่มีเวลาก็จัดการต่อได้ในเว็บไซค์ของกรมการขนส่ง
www.dlte-serv.in.th รับรองคุ้มค่ากว่าที่จะไปเสียเงินรับบริการแน่นอนครับ